วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กฎหมายเพื่อผู้หญิง เรื่องที่ผู้หญิงต้องรู้!

กระแสข่าวกล่าวว่าปีนี้คือปีทองของกฎหมายเพื่อผู้หญิง เพราะสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบแก้ไขข้อความในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 ให้ตัดทิ้งประโยคที่ทำให้การข่มขืนภรรยาตนเองไม่ผิดกฎหมายออกไป ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการเรียกร้องมา ยาวนานถึง 10 ปี รวมถึงคลอดกฎหมายใหม่ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งล้วนถูกมองว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้หญิง

แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. มีมติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดทางเพศ มาตรา 276 โดยมีประเด็น สำคัญคือ ตัดทิ้งคำว่า ซึ่งมิใช่ภริยาของตน ที่หลายองค์กรเสนอให้แก้ไขตัดประโยคนี้ทิ้งมานานกว่า 10 ปี รวมถึงมีการแก้ไขเพิ่มเติม รายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้

1. ในวรรค 1 แก้ไขถ้อยความจาก ผู้ใดข่มขืนหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน เป็นถ้อยความใหม่คือ ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น ซึ่งเป็นการขยายความคุ้มครองแก่คนทุกเพศ แม้จะถูกกระทำจากคนเพศเดียวกัน

อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ก็ยังมีการถกเถียงทั้งในสภาและนอกสภาว่า ผู้หญิงสามารถข่มขืนผู้ชายได้หรือไม่ และนี่ยังเป็นเทคนิคทางกฎหมายที่ทำให้การใช้กฎหมายคุ้มครองผู้หญิงมีความยุ่งยาก เช่น หากผู้ชายที่ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนจะฟ้องกลับว่าผู้หญิงข่มขืนตนเอง เช่นกัน

2. ในวรรค 2 ขยายคำจำกัดความของคำว่า ข่มขืนกระทำชำเรา ให้ครอบคลุม การกระทำอื่น ๆ นอกจากการสอดในอวัยวะเพศชาย ต่ออวัยวะเพศหญิง โดยครอบคลุมถึงการกระทำโดยใช้อวัยวะเพศ หรือสิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น

3. ในกรณีที่เป็นการข่มขืนกระทำชำเราในคู่สมรส และคู่สมรสนั้นยังประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ในวรรค 4 ของมาตรา 276 ได้บัญญัติว่า ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติก็ได้ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก และคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาต่อไป และประสงค์จะหย่า ให้คู่สมรสนั้นแจ้งให้ศาลทราบ และให้ศาลแจ้งพนักงานอัยการให้ดำเนินการฟ้องหย่าให้

หากมองอย่างผิวเผินกฎหมายใหม่นี้จะช่วยคุ้มครองผู้หญิงได้มากขึ้น แต่เมื่อค้นลึกลงไปในรายละเอียด และถามความคิดเห็นจากหลายฝ่าย ทั้งนักกฎหมายองค์กรเอกชนที่ทำงานด้านผู้หญิง กฎหมายใหม่ยังมีข้อถกเถียง และจุดอ่อนอีกหลายประการ และคงไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูปในการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิของผู้หญิง หรืออาจไม่ช่วยแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ได้มากนัก หากคนในสังคมปราศจากซึ่งความเข้าใจในเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมาย

มีหลากหลายมุมมองที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับกฎหมายนี้ ทั้งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในด้านไม่ดี เช่น ความสมานฉันท์ในครอบครัวที่อาจลดลง หรือในด้านผลดีที่จะเกิดขึ้นหากสามารถใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการคำนึงถึงสิทธิและมอบความคุ้มครองให้กับผู้หญิงที่ถูกละเมิดได้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

เริ่มต้นที่มุมมองของนักปฏิบัติ อย่างคุณวิมลเรขา ศิริชัยราวรรณ ทนายความ, ที่ปรึกษากฎหมาย ผู้ไกล่เกลี่ยประจำศาลฯ และผู้ดำเนินรายการ ผู้หญิงถึงผู้หญิง (ช่วงความรู้ด้านกฎหมาย) ซึ่งให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองผู้หญิงที่เกิดขึ้นใหม่ไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายที่อาจมีปัญหาในหลายประเด็น และไม่แน่ใจว่ากฎหมายนี้จะคุ้มครองผู้หญิงได้อย่างแท้จริง เพียงใด หรือจะทำให้เกิดความยุ่งยากทางกฎหมายมากไปกว่าเดิม รวมถึงประเด็นละเอียดอ่อนซึ่งคุณวิมลเรขา เห็นว่ากฎหมายจะมีผลกระทบกับสมานฉันท์ในครอบครัวอย่างมาก

เดิมกฎหมายอาญา มาตรา 273 กำหนดไว้ว่า ผู้ใดข่มขืนผู้หญิงอื่นซึ่งไม่ใช่ภริยาตนเป็นความผิดและในร่างกฎหมายใหม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาเป็น ...ผู้ใดข่มขืนผู้อื่นเป็นความผิด...คือมีการเปลี่ยนจากคำว่า หญิง มาเป็นผู้อื่น อันนี้เป็นผลพวงมาจากการที่เขากำลังจะยกระดับความเท่าเทียมกัน ระหว่างหญิงชาย ซึ่งเป็นการดำเนินตามแนวคิดในเหลักเรื่อง sex discrimination ที่เมืองนอกจะมีกฎหมายห้ามเลือกปฏิบัติไม่ว่าจะเรื่องของ เชื้อชาติ เพศ ศาสนา หรืออะไรก็แล้ว แต่ในร่างกฎหมายนี้เราเน้นในเรื่องของทางเพศก่อน

สมัยก่อนผู้ร่างกฎหมายของไทยเห็นว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ ก็เลยเขียนกฎหมายคุ้มครองคนที่อ่อนแอก่อน หญิงจึงได้รับการคุ้มครองก่อนอย่างชัดเจน ในมาตรานี้หญิงเท่านั้นที่จะเป็นกรรมของการกระทำที่จะต้องได้รับความคุ้มครองจากกฎหมาย แต่มาในกฎหมายใหม่เขาต้องการความเสมอภาค โดยเปลี่ยนผู้ถูกกระทบจาก หญิง มาเป็น ผู้อื่น ฉะนั้นเมื่อมีความเสมอภาคเกิดขึ้นก็ต้องเท่ากัน เท่ากับว่าถ้าหากผู้หญิงเองทำผิดในเรื่องทางเพศบ้าง เช่น หญิงไปข่มขืนชาย ผู้หญิงก็มีความผิดแล้วนะ และกฎหมายยังคุ้มครองรวมไปถึงเพศที่ 3 ด้วยคือ ชายทำกับชายก็ผิด หญิงทำกับหญิงก็ผิดได้เช่นกัน

ประเด็นความยุ่งยากแรก เกิดจากวรรค 2 ของมาตรานี้ได้นิยามคำจำกัดความ ข่มขืนกระทำชำเรา ใหม่ ของเดิมนั้น บอกว่า การที่อวัยวะเพศชายล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศหญิง แม้แต่องคุลีเดียวถือว่าข่มขืนสำเร็จ อันใหม่ให้มีความหมายเพิ่มว่า อวัยวะเพศเข้าในอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือการใช้อวัยวะเพศเข้าไปในช่องปากของผู้อื่น และครอบคลุมถึงการใช้สิ่งอื่นใดเข้าไปในอวัยวะเพศหรือทวารหนักด้วย

เขียนบรรยายความมากมายขนาดนี้ นักกฎหมายจะทำงานยากมาก และต้องตีความกันหนักทีเดียว ของเดิมบอกว่าถ้าอวัยวะของเพศชายล่วงล้ำเข้าอวัยวะเพศหญิงแค่องคุลีเดียว (โดยไม่ต้องสนใจว่าชายจะสำเร็จความใคร่หรือไม่!!) ถือเป็นความผิดสำเร็จแล้ว โทษคือจำคุก 4-20 ปี แต่ถ้ายังไม่ทำถึงขนาดเข้าไปเรียกว่าเป็นขั้นพยายาม รับโทษต่างกันคือ แค่ 2 ใน 3 เท่านั้น แล้วในเมื่อมีการเขียนขยายคำจำกัดความอย่างที่กล่าวมา ช่วยตอบด้วยว่าอันไหนเป็นแค่พยายาม แล้วอันไหนเป็นความผิดสำเร็จ เพราะลักษณะของการกระทำมันขยายขอบเขตมากขึ้น ยกตัวอย่าง การใช้ลิ้น ถ้าหากทอมไปใช้ลิ้นกับดี้ แล้วดี้ไม่ยอม ความผิดสำเร็จตอนไหนล่ะ จะให้รับโทษ 4-20 ปีตอนไหน หรือการเอาลิ้นไปแตะโดนอวัยวะเพศเป็นแค่พยายามเท่านั้น รับโทษ 2 ใน 3 แล้วเวลาสืบพยานในศาลก็คงต้องสืบกันลึกมาก คงโต้เถียงกันน่าดู เพราะว่าคนทำผิดคนไหน ๆ ก็ต้องอยากรับโทษน้อย แต่คนเป็นผู้เสียหายก็คงอยากให้คนทำผิดโดนหนัก ๆ อย่างนี้เป็นปัญหาในทางปฏิบัติแน่ ๆ !!

สนช. ผ่านพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำ ความรุนแรงในครอบครัว

สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบผ่านร่าง พรบ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว หลังจากที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้พยายามผลักดันกฎหมายนี้มานานหลายปี ซึ่งกฎหมายนี้มีข้อดีและข้อน่าห่วงใยหลายประการ

ข้อที่น่าห่วงคือ เรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนซับซ้อน รัฐหรือผู้อื่นจะเข้าไปแทรกแซงอย่างไร โดยให้เกิดผลกระทบกับความสัมพันธ์ในครอบครัวน้อยที่สุด หรือหากเข้าไปแทรกแซงอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ถูกเวลาและสถานการณ์ อาจมีผลทำลายคามสัมพันธ์ในครอบครัวของผู้อื่นได้

พรบ. นี้ยังเน้นกระบวนการไกล่เกลี่ย ประนีประนอมยอมความ โดยในมาตรา 15 บัญญัติว่า ไม่ว่าการพิจารณาคดีการกระทำความรุนแรงในครอบครัวจะได้ดำเนินไปแล้วเพียงใด ให้ศาลพยายามเปรียบเทียบให้คู่ความได้ยอมความกัน โดยมุ่งถึงความสงบสุข และการอยู่ร่วมกันในครอบครัวเป็นสำคัญ... ซึ่งการประนีประนอมเป็นสิ่งที่ดีหากทำได้ แต่ควรคำนึงถึงความต้องการของผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงเป็นสำคัญ

ส่วนข้อดีของ พรบ. คุ้มครองฯ นี้คือ ได้วางแนวทางในการช่วยเหลือคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวอย่างเป็นระบบ เช่น มีบทบัญญัติให้บุคคลที่พบเห็น หรือทราบการกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว มีหน้าที่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วยวิธีใด ๆ

เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้พบเห็นการกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ให้มีอำนาจเข้าไปเคหสถานเพื่อสืบหาข้อเท็จจริง รวมทั้งมีอำนาจจัดให้ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวเข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์ และขอรับคำปรึกษาแนะนำจากจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์

ในกรณีที่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวประสงค์จะดำเนินคดี ให้จัดให้ผู้นั้นร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และถ้าผู้ที่ถูกกระทำไม่อยู่ในวิสัย หรือมีโอกาสที่จะร้องทุกข์ได้ด้วยตนเอง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นผู้ร้องทุกข์แทนได้

เมื่อมีการร้องทุกข์แล้ว ให้พนักงานสอบสวนทำสำนวนโดยเร็ว และส่งตัวผู้กระทำความรุนแรง สำนวนการสอบสวนพร้อมทั้งความคิดเห็นไปยังพนักงานอัยการ เพื่อฟ้องคดีต่อศาลภายใน 48 ชั่วโมง แต่หากมีเหตุจำเป็นไม่อาจยื่นฟ้องได้ทันภายในเวลาที่กำหนด ให้ขอผลัดฟ้องได้คราวละไม่เกิน 6 วัน แต่ต้องไม่เกิน 3 คราว

ในการสอบปากคำผู้ถูกกระทำความรุนแรง พนักงานสอบสวนต้องจัดให้มีจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ หรือบุคคลที่ร้องขออยู่ด้วยในขณะสอบปากคำ และให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งกำหนดมาตรการ หรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่บุคคลผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวเป็นการชั่วคราว ไม่ว่าบุคคลนั้นจะร้องขอหรือไม่ ซึ่งรวมถึงการให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวชดใช้เงินช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เบื้องต้น และการออกคำสั่งห้ามผู้กระทำความรุนแรงเข้าไปในที่พำนักของครอบครัว หรือเข้าใกล้บุคคลใดในครอบครัว ตลอดจนกว่าการกำหนดวิธีการดูแลบุตร เป็นต้น

นอกจากนี้ศาลอาญากำหนดให้ผู้กระทำความรุนแรงต้องใช้วิธีการฟื้นฟู บำบัดรักษา คุมความประพฤติ ทำงานบริการสาธารณะ ละเว้นการกระทำอันเป็นเหตุให้เกิดการใช้ความรุนแรงในครอบครัว หรือทำทัณฑ์บนไว้ ตามวิธีการและระยะเวลาที่ศาลกำหนดได้ บทบัญญัติมาตรานี้ถือว่าสำคัญในการแก้ปัญหาความรุนแรง เพราะหากยังเป็นขั้นความรุนแรงที่ไม่มาก และทั้งสองฝ่ายประสงค์จะใช้ชีวิตร่วมกันต่อไป การบำบัดพฤติกรรมของผู้กระทำความรุนแรงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างเร่งด่วนที่สุด เพื่อป้องกันการกระทำความรุนแรงซ้ำ หรือกระทำความรุนแรงที่เป็นอันตรายมากกว่าเดิม

ประเด็นความยุ่งยากถัดมา ส่วนที่กฎหมายใหม่ตัดคำว่า ซึ่งมิใช่ภริยาของตน ออกไป เหลือสั้น ๆ แค่ ผู้ใดข่มขืนผู้อื่นเป็นความผิด อาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องความสมานฉันท์ในครอบครัวขึ้น เพราะถ้ากำหนดให้สามีหรือภริยาข่มขืนกันเป็นความผิดด้วยนั้น เป็นการผิดธรรมชาติในการใช้ชีวิตคู่ของสังคมไทยเรา เพราะในครอบครัวในบางวาระ อาจมีตบจูบ มีการใช้กำลังกันบ้าง ขัดขืนใจกันบ้าง ก็ไม่เป็นไร ลิ้นกับฟันกระทบกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ตามวัฒนธรรมของเราบอกว่า ถ้าคุณตกลงแต่งงานกันแปลว่า คุณกำลังทำพันธะสัญญาต่อกันอยู่ในทีว่า จะร่วมกินอยู่หลับนอนกับผู้ชายคนนี้ ยินยอมมีความสัมพันธ์กันเพื่อมีลูกหลานสืบวงศ์ตระกูล ดังนั้นถ้าเกิดบางโอกาสที่ฝ่ายหญิงไม่ยอม แต่คุณเป็นสามีภรรยากันนอนคุยกันเดี๋ยวก็รู้เรื่อง ไม่เคยเห็นเหรอคะ คู่ไหนยิ่งทะเลากัน แหม!! ทำไมครอบครัวนั้นลูกดกเหลือเกิน แต่พอกฎหมายใหม่ตัดส่วนห้อยท้ายออก ก็แปลว่า ถ้าวันไหนสามีภรรยาฝ่ายใดเกิดไม่ยินยอมพร้อมใจก็อย่าได้ไปแตะเขานะ เป็นคดีอาญาทันทีได้เลย จริง ๆ ดิฉันก็เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของผู้ร่างนะคะ เพราะประโยชน์ของกฎหมายใหม่ก็มีอยู่บ้าง เช่น กรณีที่สามีไปใช้บริการหญิงขายบริการทางเพศ แล้วไปติดโรคร้ายมา ภรรยาสามารถใช้สิทธิ์นี้ปฏิเสธไม่ยอมได้ร่วมหลับนอนได้ ประโยชน์อีกข้อคือ คู่ที่แยกกันอยู่ แต่ยังไม่หย่าอย่างเป็นทางการเพราะเห็นแก่ลูก ภรรยามีสิทธิ์ไม่ร่วมหลับนอนด้วยก็ได้ เห็นประโยชน์แค่นี้จริง ๆ ส่วนด้านผลกระทบมันเกิดขึ้นเยอะมาก

ธรรมดาปัญหาในครอบครัวก็มีเรื่องให้ต้องทะเลาะกันมากอยู่แล้ว ยิ่งไปสร้างฐานกฎหมายให้ทะเลาะกันเข้าไปอีก ก็ยิ่งยุ่งกันไปใหญ่ จึงถือเป็นการแก้ไขกฎหมายที่ไม่ได้ส่งเสริมความสมานฉันท์ในครอบครัว และไม่ได้คำนึงถึงธรรมชาติของการใช้ชีวิตคู่ตามลักษณะของสังคมไทยด้วย แต่เขาก็เขียนนะว่า ไม่เป็นไรถ้าเกิดสามีภรรยาคู่ไหนที่แจ้งความร้องทุกข์เป็นคดีขึ้นสู่ศาล แล้วเกิดตกลงใจจะอภัยกัน จะยินยอมอยู่ด้วยกันต่อไป ศาลก็จะลดโทษให้ ซึ่งในทางปฏิบัติเท่าที่ดิฉันได้ทำหน้าที่ทนาย และเป็นผู้ไกล่เกลี่ยประจำศาลมา หากสามีภรรยาทะเลาะกันขนาดขึ้นโรงขึ้นศาลก็แทบจะไม่มองหน้ากันแล้ว เรียกว่าสอบถามอะไรก็ตาม จะได้รับฟังความชั่วมากมาย แต่ความดีไม่มีปรากฏ ยิ่งถ้าเป็นคดีอาญาซึ่งฝ่ายที่ถูกฟ้องอาจมีโอกาสติดคุก คราวนี้ก็ท่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว!!

คือเราต้องยอมรับว่า การจะได้อะไรบางอย่างมาอาจต้องสูญเสียบางอย่างไป ซึ่งผู้หญิงแถวหน้า (Working Woman) หลายคน อาจเห็นว่าเป็นทางเลือกใหม่ที่ทำให้ผู้หญิงได้รับการดูแลมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา โดยมีกฎหมายมารองรับตรงจุดนี้ นั่นคือสิ่งที่ได้มา !! แต่สิ่งที่อาจต้องเสียไปคือ ความสมานฉันท์ในครอบครัว เพราะอาจเกิดบางสิ่งแบบที่ผู้หญิงแถวหลัง (ที่เป็นแม่บ้านอยู่กับเหย้าเฝ้าเรือน) เขาอาจไม่ได้ประสงค์ให้ออกกฎหมายมาในลักษณะนี้ เพราะจากสถิติที่ผู้หญิงมาขอความช่วยเหลือจากดิฉันในคดีที่เกี่ยวกับครอบครัว ในที่สุดเขาอยากได้สามีคนที่เคยดีกลับคืนมา และครอบครัวที่เป็นสุข ฉะนั้นถ้าอยากคุ้มครองผู้หญิงจากการกระทำรุนแรงทางเพศ ก็น่าจะใช้วิธีการเพิ่มโทษให้ ผู้กระทำผิดหลาบจำ หรือไม่กล้ากระทำผิด แต่นี่เรามองข้ามประเด็นนี้ไป แต่กลับไปแก้ประเด็นอื่น ซึ่งส่งผลกระทบ แน่นอนว่าคุณอาจจะได้เห็นปรากฏการณ์ที่สามีหรือภริยาฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีอาญาฐานข่มขืน เขาจะพยายามทำดีกับอีกฝ่ายหนึ่งไว้ก่อน พอรอดจากคุกแล้ว คงยากล่ะหากจะให้กลับไปคืนดีกัน !!!

แต่ในกฎหมายฉบับนี้ ผ่านสภาฯ มาแล้ว เหลือแค่รอประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ก็มีผลบังคับใช้กับเราทุกคนแล้ว ทางแก้สำหรับเรื่องนี้หากเกิดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ก็อาจไปขอแก้ไขกฎหมายนี้ในภายหลัง หรืออาจใช้ทางแก้แบบชั่วคราว คือต่อจากนี้คงต้องมีคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาปรึกษาแน่ ๆ ว่า จะป้องกันข้อบาดหมางหรือข้อพิพาทที่จะเกิดได้อย่างไร คงต้องแนะนำในแบบสมานฉันท์ ว่าเวลาสามีภรรยาจะมีอะไรกัน ต้องทำบันทึกข้อตกลงยินยอมให้มีอะไรกันได เป็นหนังสือไว้ล่วงหน้าก่อน จะได้ไม่ต้องกังวลว่ามีอะไรกันแล้ว จะโดนอีกฝ่ายไปกล่าวหาว่าข่มขืนซึ่งก็คงจะพิลึกน่าดูเหมือนกัน!!!

สถิติความรุนแรงในครอบครัว

สถิติจากงานวิจัยโดยสภาบันวิจัยประชากรและสังคม ร่วมกับมูลนิธิผู้หญิง พบว่า ร้อยละ 41 ของผู้หญิงมีคู่ในกรุงเทพฯ เคยเผชิญปัญหาความรุนแรงทางกายหรือทางเพศ และร้อยละ 47 ของผู้หญิงที่มีคู่ที่ จ.นครสวรรค์ เคยเผชิญปัญหาความรุนแรงทางกายหรือทางเพศ และพบว่าความรุนแรงต่อผู้หญิงในชีวิตคู่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางกายและจิตใจ

· 1 ใน 2 ของผู้หญิงที่ถูกทำร้ายทางกายได้รับบาดเจ็บ

· หญิงที่ได้รับบาดเจ็บ 5% มีอาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล

· 4% หมดสติจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

· 40% ของผู้หญิงที่ถูกทำร้ายร่างกาย เคยคิดฆ่าตัวตาย

นี่คือสิ่งสะท้อนว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นจริงในสังคมไทย และเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อาหารสมอง

คุณมีอาการเช่นนี้บ่อยแค่ไหน จำไม่ได้ว่าวันนี้จอดรถชั้นไหนนะ เอ..คนที่ส่งยิ้มให้เมื่อกี้หน้าตาคุ้นๆ ชื่อ
อะไรนะ ว่าแต่ว่าเมื่อเช้ากินยาก่อนอาหารแล้วหรือยัง จำได้ว่าจดไว้ในสมุดโน้ตกันลืมทั้งชั้นจอดรถและ
เวลากิน ยา แต่เอาสมุดเล่มที่ว่าไปวางไว้ที่ไหนล่ะเนี่ย

ความจำหายไปไหน

อาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช Nutrition Consultant จาก Vital Life ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายว่า โดยธรรมชาติแล้วเซลล์สมองเฉพาะส่วนจะตายไปตามวัย ทำให้คนเรามีปัญหาในเรื่องของความจำ หรือความสามารถในการจำลดลงและหลงลืมบ่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น
'โดยปกติ แล้วความจำช่วงที่ดีที่สุดจะอยู่ในตอนที่คนเราอายุ 20 ปี หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลงทีละน้อยๆ จนเห็นชัดเจนตอนอายุ 50 ปี'
คนทำงานในวัยสามสิบขึ้นไป แม้วัยยังห่างไกลห้าสิบ อาจสงสัยว่าทำมั้ยตนจึงมีอาการความจำตกๆ หล่นๆ สมาธิน้อยลง หลงลืมเป็นประจำ แถมบางครั้งยังรู้สึกเครียด หดหู่ อยู่บ่อยๆ

สาเหตุ อาจไม่ใช่เพราะ 'ความแก่' มาเยือน อาจารย์ศัลยา วิเคราะห์ว่า เป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม และการใช้ชีวิตของแต่ละคน รวมไปถึงระดับ 'น้ำตาล' ในเลือดด้วย
เนื่องจากน้ำตาลเป็นหนึ่งในสารจำเป็นซึ่งส่งผล ต่อการทำหน้าที่ของเซลล์สมอง ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป การทำหน้าที่ของเซลล์สมองก็จะผิดปกติได้ ดังนั้นการมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สม่ำเสมอ จึงมีผลดีต่อสมอง

อาหาร เรียกความจำ

คุณกินอะไร ก็จะเป็นอย่างนั้น ประโยคสั้นๆ ที่เป็นความจริงแท้แน่นอน นักวิจัยอธิบายต่อว่า อาหารที่เรารับประทานในแต่ละคำยังส่งผลถึงสมาธิ ความจำ รวมไปถึงความเฉลียวฉล าดด้วย สิ่งที่เราไม่รู้และควรรู้ก็คือ เซลล์สมองของคนเรามีจำนวนมากถึงร้อยพันล้านเซลล์ แต่ละเซลล์ก็มีความต้องการอาหารที่มีสารอาหารในการเสริมสร้างการทำงานของ เซลล์ประสาท การขาดสารอาหารเพียงบางชนิดแม้ในจำนวนเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ความจำลดลงได้ก่อนที่ร่างกายจะแสดงอาการออกมา
ในการทำ งานของเซลล์สมองทุกๆ ตัว จะมีสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อสมอง ซึ่งช่วยสื่อสารจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งต่อๆ กันไป ระบบการไหลเวียนของเลือดจะนำเอาออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ซึ่งการทำงานจะเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีสารอาหารไปเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอสม่ำเสมอ พอที่จะทำให้สมองทำงานได้ดีตลอดชีวิตหรือไม่
อาหารดีมีประโยชน์สำหรับสมอง ช่วยให้เราคิดดี ทำดี มีความจำดี มีอะไรบ้าง แล้วเราต้องปฏิบัติตนอย่างไร

สาร บำรุงสมอง

สมองต้องการอะไรบ้าง เริ่มต้นกันที่ วิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 ไนอะซิน บี 6 บี 12 แพนโธทีนิค และกรดโฟลิค ช่วยป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน อาหารที่มีวิตามินบีสูง เช่น ผลิตภัณฑ์นมพร่องหรือขาดไขมัน กล้วย อาหารทะเล ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้

ธาตุเหล็ก
เป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง การขาดธาตุเหล็กจะทำให้สมาธิสั้น ไอคิวลดลง การเสริมธาตุเหล็กสำหรับผู้ที่ขาดธาตุเหล็ก จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ ใช้ความคิด เพิ่มทักษะในการใช้คำพูด อาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล

โค ลีน
ชื่อนี้ควรจำไว้ให้ดีเพราะเป็นองค์ประกอบที่พบในเยื่อหุ้มเซลล์สมองและสาร เคมีในเซลล์สมองที่ชื่อว่า อะเซทิลโคลีน ซึ่งควบคุมความจำ อาหารที่มีโคลีนสูง คือ ไข่ แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บรูเออส์ยีส ส่วนที่มีในปริมาณเล็กน้อยได้แก่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ ขนมปังโฮลวีท นม ส้ม ดอกกะหล่ำ และแตงกวา

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี
วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระซึ่ง ทำให้เซลล์สมองเสื่อม ส่งผลให้ความจำเสื่อม มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่า ผู้ที่บริโภควิตามินซีสูงมีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุด พืชที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องการสมองเสื่อม ได้แก่ สารโอพีซีสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากใบแปะก้วย กรดไลโปอิคและสารฟลาโวนอยด์ในผัก ผลไม้ เช่น องุ่น ผลไม้ประเภทเบอร์รี ชาเขียว

น้ำมัน ปลา หรือโอเมก้า 3
ช่วยป้องกันความจำเสื่อม ปลาที่มีโอเมก้า 3 มาก ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาค้อด ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารแนะนำให้บริโภคเนื้อปลาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

กิน ดี สมองดี

หลักง่ายๆ ในการเลือกรับประทานอาหารให้ได้ครบสูตรในแต่ละมื้ อ โดยไม่ต้องมานั่งนับแคลอรีให้ปวดหัว อาจารย์ศัลยา แนะให้แบ่งจานอาหารออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน ประกอบไปด้วย ผัก ผลไม้ ข้าวธัญพืช และโปรตีน

อาหารเช้า

'สำคัญที่สุดคือ ต้องกินอาหารเช้า เนื่องจากสมองคนเราต้องการน้ำตาลกลูโคสเพื่อใช้เป็นพลังงาน ถ้าเราไม่รับประทานอาหารก็จะทำให้สมองขาดเชื้อเพลิงในการทำงาน'
อาจารย์ศัลยา กล่าวถึงผลวิจัยที่พบว่า คนที่รับประทานอาหารเช้าจะขาดโรงเรียนหรือขาดงานน้อยกว่า รวมไปถึงการทดสอบทางคณิตศาสตร์ สมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ ความรวดเร็วในการแก้ปัญหา การรำลึกความจำ ความแม่นยำในการทำงานดีขึ้น แถมยังมีอารมณ์ดีกว่าคนไม่กินข้าวเช้าอีกด้วย
คราวนี้ เรามาดูกันสิว่า อาหารเช้าแบบไหนที่เป็นของ 'ต้องการ' หรือ 'ต้องห้าม'
อาหารเช้าที่ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำ ได้แก่ ซีเรียลผสมนมพร่องมันเนย หรือนมถั่วเหลือง ผลไม้ 1 ชนิด และน้ำผลไม้ (ไม่ผส มน้ำเชื่อม) 1 แก้วเล็ก
ถ้าอยากรับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกัน ขอแนะนำเป็น ไข่ดาว ขนมปังโฮลวีททาเนยถั่ว งดไส้กรอก แฮม เพราะมีไขมันสูง กาแฟ 1 ถ้วย อนุญาตให้เติมน้ำตาล 1 ช้อนชาพอ
อาหาร เช้าแบบไทยๆ แนะนำให้รับประทานข้าวต้มเครื่อง ข้าวต้มปลา เสริมผัดผัก 1 จาน หรือข้าวโพด 1 ฝัก นมถั่วเหลือง 1 แก้ว น้ำส้มสด 1 แก้วเล็ก มะละกอ 1 เสี้ยว นี่คือตัวอย่างของอาหารเช้า คุณภาพดี

อาหารกลางวัน
อาหารไขมันสูงหรือ น้ำตาลสูง นอกจากจะทำให้ง่วงนอนแล้ว สมองก็ไม่แล่นอีกด้วย ฉะนั้น มื้อเที่ยงจึงไม่ควรเป็นมื้อหนัก มีโปรตีนเล็กน้อย ธัญพืชไม่ขัดสีมากหน่อย จะช่วยให้สมองตื่นตัวตลอดเวลา อาหารแนะนำได้แก่ แซนด์วิชทูน่าขนมปังโฮลวีท สลัด (น้ำสลัด ไขมันต่ำ) 1 จาน น้ำผลไม้ และผลไม้สด หรือก ๋วยเตี๋ยวน่องไก่ใส่เส้นน้อยๆ ผักเยอะๆ ไม่ใส่กระเทียมเจียว ไม่รับประทานหนังไก่ หรือถ้าอยากรับประทานสปาเกตตีสักจานก็ขอให้เพิ่มสลัดอีก 1 จาน
ไม่แนะนำ ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว เพราะมีไขมันมาก เปลี่ยนเป็นราดหน้าจะดีกว่า โดยเปลี่ยนจากเส้นใหญ่ เป็นเส้นหมี่ วุ้นเส้น หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้

ชวน สมองออกกำลังกาย

การออกกำลังกายควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่ สมองต้องการเป็นสิ่งที่จำเป็น วิธีการออกกำลังกายแบบแอโรบิกและโยคะ เป็นวิธีที่อาจารย์ศัลยาแนะนำ รวมไปถึงการออกกำลังกายสมอง ด้วยการท้าทาย ในการทำสิ่งใหม่ๆ ดูบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเกมที่ใช้ความคิด ลองหัดวาดรูป หรือเรียนดนตรี อย่าลืมว่าไม่มี อะไรแก่เกินเรียน
เมื่อสมองได้รับการท้าทายแล้ว ก็จะไม่เครียด สมอง ความคิดก็จะปลอดโปร่ง หากปฏิบัติตามคำแนะนำ ทั้งหมดของผู้เชี่ยวชาญได้แล้ว คราวนี้ คุณคงจะไม่ต้องไปยืนทำสมาธิอยู่หน้าลิฟต์อาคารจอดรถเพื่อนึกว่า จอดรถไว้ที่ชั้นไหน ยามหนุ่มยิ้มให้ก็ไม่ต้องงงว่า เขาเป็นใคร อีกต่อไป

สมูทตี้ สูตรสดชื่น

ส่วนผสม : แครอท 4 หัว แอปเปิล 1 ผล ขิงเล็กน้อย พริกหวานสีแดง 1/2 เม็ด ผิวมะนาวเล็กน้อย ซอสโทบาสโก้นิดหน่อย
วิธีทำ - นำมาปั่นรวมกัน รินใส่แก้วรับประทานทันที ไม่ควรทิ้งไว้

เมนู บำรุงสมอง
ซุปถั่ว ซุปมันฝรั่ง ซุปฟักทอง แกงกะหรี่ผักอินเดีย ต้มยำปลา ต้มยำกุ้ง เต้าหู้ผัดผัก หลายๆ สี ผัดเปรี้ยวหวานไก่
เคล็ดลับ เพิ่มความจำระยะสั้น ท่องหนังสือ ก่อนเข้าประชุม กินน้ำตาลปริมาณ 1 ช้อนชา จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่น ในขณะเดียวกัน หากร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการซึมเศร้า ขาดความกระตือรือร้น / กาแฟ วันละ 1 ถ้วย น้ำตาล 1 ช้อนชา เท่านั้นพอ