วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

เรียนวิทยาศาสตร์ไปทำอะไร

คมชัดลึก :" เรียนวิทยาศาสตร์จบแล้วไปทำอะไร ? " คือคำถามยอดฮิตที่พ่อ แม่ ผู้ปกครองมักจะถาม พอๆกับคำกล่าวที่ว่า พัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นคำกล่าวที่มักจะได้ยินอยู่เสมอ


วันนี้ ดร.สุพจน์ หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาสามาไขข้อข้องใจ ผ่าน "คมชัดลึก" ว่า จริงๆแล้ว วิทยาศาสตร์นั้นมีความสำคัญกับประเทศมากน้อยเพียงใด


ดร.สุพจน์อธิบายว่า ครอบครัวคือหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคม ดังนั้นหากต้องการสังคมโลกเป็นอย่างไร จะต้องเริ่มสร้างจากสังคมครอบครัวเช่นเดียวกันหากเราต้องการ วัสดุที่มีสมบัติใดๆ เช่น นำไฟฟ้าได้ ทนการกัดกร่อนได้ ป้องกันไฟได้ ปลดปล่อยสารที่ต้องการได้ หยุดยั้งการทำงานของเชื้อโรคได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง เรียนรู้อะตอม หรือ โมเลกุล ซึ่งประกอบขึ้นจากอะตอม หรือเข้าใจลึกลงไปถึงพฤติกรรมของโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน ที่ประกอบกันขึ้นเป็นอะตอม เพราะเป็นหน่วยที่เล็กและที่สำคัญที่สุดที่เป็นตัวกำหนดสมบัติและการทำงานของอวัยวะและของวัตถุสิ่งของ ซึ่งคนที่รู้จักพวกนี้ก็คือนักวิทยาศาสตร์นั่นเอง



ดังนั้นผู้ที่เรียนจบวิทยาศาสตร์แล้วจะไปเป็น ครู-อาจารย์ รวมไปถึงการเข้าสู่อาชีพด้านบุคลากรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลและบริหารงานด้านการศึกษาตามหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ หรือเป็น นักวิทยาศาสตร์: ในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯและกระทรวงที่ต้องใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ในการวิเคราะห์ ทดสอบ และตรวจสอบคุณภาพ ตรวจสอบการปนเปื้อน หรือตรวจสอบความเป็นพิษต่าง ๆ เพื่อการใช้ในประเทศและส่งออกเช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น


งานด้านพิสูจน์หลักฐาน: อีกงานที่ต้องการนักวิทยาศาสตร์มากขึ้นเพราะนับวันคดีความต่าง ๆ จะมีความซับซ้อนมากขึ้น ประกอบกับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่ลึกซึ้งมากขึ้น จะสามารถนำไปช่วยแก้ปัญหาด้านอาชญากรรมได้มากขึ้น ดังจะเห็นได้ในหลาย ๆ คดีว่า เก็บเส้นผมได้เส้นเดียว หรือเศษผิวหนังในเล็บมือได้ ก็สามารถคลี่คลายคดีได้ เป็นต้น


อาจารย์ในมหาวิทยาลัย: คณะวิชาต่างๆ ในมหาวิทยาลัย เช่น แพทย์ วิศวะ เภสัช ทันตะฯ รับอาจารย์ที่จบสาขาวิทยาศาสตร์เข้าทำงานมากขึ้น อีกแหล่งงานคือ กลุ่มมหาวิทยาลัยใหม่ซึ่งได้แก่มหาวิทยาลัยราชภัฎ ราชมงคลและมหาวิทยาลัยเอกชน มีความต้องการอาจารย์(ปริญญาเอก) ด้านวิทยาศาสตร์สูงมากนักวิจัยในสถาบันวิจัยชั้นสูง: ตัวอย่างเช่นนักวิจัยในสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งปัจจุบันมีนักวิจัยที่จบทางด้านวิทยาศาสตร์กว่า 3000 คนและเชื่อว่าในอนาคต จะมีสถาบันวิจัยลักษณะเช่นนี้ ทั้งภาครับและเอกชน เพิ่มมากขึ้น


รวมทั้งภาคเอกชน: โรงงานอุตสาหกรรมค่อนข้างจะเป็นตลาดใหญ่เพราะโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นภาคการผลิตทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นโรงงาน ด้านเกษตร อาหาร สิ่งทอ พลาสติก น้ำมัน อิเล็กทรอนิค เป็นต้น ล้วนต้องการนักวิทยาศาสตร์เพื่อทำหน้าที่ดูแลคุณภาพ ดูแลสภาพแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทั้งนี้รวมถึงสถานพยาบาล ต่าง ๆ ด้วย


"เพื่อแก้ปัญหาเด็กไทยอ่อนวิทย์จึงได้จัดโครงการตลาดวิชาวิทยาศาสตร์ (Science for All) คณิตศาสตร์ แต่ละวิชาจะมีคณะทำงานเพื่อจำแนกและกำหนดเนื้อหาแต่ละหัวข้อย่อยวิชาละ 100 หัวข้อ โดยครอบคลุมเนื้อหา ม. ปลาย และปี 1 จากนั้นจะเสาะหาครู อาจารย์ นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่มีทักษะการสอนวิทยาศาสตร์เข้าใจ เนื้อหาวิชามากกว่าการทำข้อสอบได้ มาจัดทำเป็นวิดีทัศน์การสอนลงระบบ online ภายใน3 ปี ให้ครู นักเรียนเข้ามาอ่านได้ เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาเด็กไทยอ่อนวิทย์ได้ในระดับหนึ่ง" ดร.สุพจน์กล่าว


อย่างไรก็ตามในอนาคตรัฐบาลจะดำเนินนโยบายเพื่อให้เกิดศูนย์วิจัย ศูนย์บริการ หรืออุตสาหรรมขนาดใหญ่ของภาครัฐหรือเอกชนในระดับที่เป็นศูนย์กลาง (hub) ระดับภูมิภาคหรือระดับโลก เช่นการตั้งโรงงานอิเล็คทรอนิคส์ขนาดใหญ่ การจัดตั้งและลงทุนด้าน life science center หรือhealth science center ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล


รวมทั้งการจัดตั้งโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา แต่ละโครงการฯจะแหล่งงานขนาดใหญ่ที่ต้องการนักวิทยาศาสตร์โครงการละหลายพัน หรือเป็นหมื่นคนและจะมีอุตสาหกรรมและการจ้างงานด้านอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย ถึงตรงนี้น้องๆที่กำลังจะแอดมิชชั่นส์คณะวิทยาสตร์คงมีคำตอบให้กับตัวเองแล้ว



ขอขอบคุณที่มา : คมชัดลึก

ข้อควรระวังในการสอบโอเน็ต Onet

ผ่านพ้นเดือนแห่งปีใหม่ไปเรียบร้อย นับจากนี้ไปคงเป็นเรื่องที่อยู่ในช่วงของการเตรียมตัวเปลี่ยนแปลงของนักเรียนมัธยมปลาย (ม.6) สู่รั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ


แนวทางการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปี 2551 นี้ ยังไม่ได้มีการเปลี่ยน ใด ๆ หากแต่ยังคงหลักเกณฑ์เดิมทุกประการ ซึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น จะเริ่มใช้ในการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในปี 2553 โดยมีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบในการคัดเลือกผู้สมัครเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเกณฑ์ที่ใช้ประกอบด้วย คะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.ปลาย) หรือจีพีเอเอ็กซ์ คะแนนแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต และคะแนนแบบทดสอบความถนัด ซึ่งถือว่าเกณฑ์ที่ใช้ลดความเข้มข้นลงไปจากเดิมพอควร


สำหรับแนวโน้มที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ชัด คือ รูปแบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย โดยเป็นไปในทิศทางที่มหาวิทยาลัย/สถาบันแต่ละแห่งจะดำเนินการรับสมัครนักศึกษาผ่านโครงการต่าง ๆ รับนักศึกษาด้วยตนเองมากขึ้น ทั้งนี้ เนื้อหาหลักสูตรและค่าเล่าเรียนอาจมีความแตกต่างกันไปตามต้นทุนในการผลิตบัณฑิตในแต่ละสาขาวิชาและมหาวิทยาลัย

ในขั้นตอนของการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยนั้น โดยส่วนใหญ่หมายมั่นปั้นมือว่าตนเองต้องผ่านการคัดเลือกแน่ ในขณะที่ผู้สมัครอีกกลุ่มอาจเตรียมตัวเตรียมใจหาที่เรียนหรือมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ไว้สำรอง กันความพลาดหวัง ซึ่งถือเป็นสิ่งดีและพึงกระทำอย่างยิ่ง เพราะจะได้ไม่ต้องวิ่งรอกหาสถานที่เรียนใหม่ ทั้งนี้อย่างน้อยที่สุดยังมีมหาวิทยาลัยที่รับเข้าเรียนแน่นอน ไม่ต้องปวดหัวหรือเสียเวลา

ในการเลือกคณะวิชาในปีการศึกษา 2551 การเลือกคณะวิชาอาจไม่แตกต่างจากปีก่อน ๆ โดยบรรดาคณะวิชา/สถาบันในฝันคงอยู่ในกลุ่ม คณะแพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและสารสนเทศ นิเทศศาสตร์หรือวารสารศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ รวมไปถึงคณะนิติศาสตร์หรือคณะรัฐศาสตร์ และจำนวนผู้สมัครคงจะมีปริมาณที่มากเช่นเคย และอัตราการการแข่งขันย่อมอยู่ในสัดส่วนที่สูง ดังนั้น หากผู้ที่มีคะแนนสอบไม่สูงมาก เมื่อทดสอบกับโปรแกรมคำนวณการสมัครของปีที่ผ่านมา ควรเลี่ยงหรือเลือกคณะวิชา/สถาบันอื่น ๆ รองรับไว้ด้วยน่าจะช่วยได้มาก


การไม่ผ่านคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย มิใช่สิ่งที่จะมากำหนดความสำเร็จของชีวิตในอนาคตแท้จริงแต่ประการใด หากแต่ถือเป็นเกมหรือจังหวะหนึ่งของชีวิตที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ในขณะที่เราก็สามารถเติบโตหรือก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างมากมายเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่า เรากำหนดชีวิต หรือเราเลือกเส้นทางของชีวิตไว้อย่างไร


นอกเหนือจากการสมัครเข้าเรียนผ่านระบบแอดมิสชั่นส์หรือระบบกลาง รวมถึงโครงการพิเศษต่าง ๆ แล้ว ทางเลือกอื่น ๆ อาทิ สถาบันหรือมหาวิทยาลัยเอกชนที่ยังคงเปิดรับนักศึกษาอีกเป็นจำนวนมาก รวมถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยในต่างประเทศที่สามารถเลือกเรียนได้อีกมากเช่นเดียวกัน โดยการไปศึกษาต่อต่างประเทศยังจะเป็นการเพิ่มทักษะทางภาษาได้ดีอีกด้วย โดยในปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาต่างประเทศจำนวนมากเปิดรับนักศึกษา ซึ่งในบางประเทศมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากนัก โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ใกล้กับเรา ในขณะที่มาตรฐานการศึกษาอยู่ในระดับที่สูงหรืออาจดีกว่าในบางด้านอีกด้วย

ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้น อย่าคิดแต่เพียงว่า การผ่านการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยนั้นถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของชีวิต เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว การผ่านการคัดเลือกดังกล่าวถือเป็นเพียงก้าวแรกของความสำเร็จบางด้านหรือบางตอนเท่านั้น ในขณะที่หนทางข้างหน้าที่ต้องเจอะเจอยังมีอีกยาวไกล โดยช่วงเวลา 4 หรือ 5 ปีในรั้วมหาวิทยาลัยถือเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก มีข้อดีมากมายสำหรับทุกคนที่มีโอกาสเหล่านั้นที่จะกอบโกยประสบการณ์ทุกอย่างได้ชนิดที่อาจกล่าวได้ว่า มีครบทุกรส ทั้งสุข เศร้า สมหวัง ร้องไห้ ดีใจ ซึ่งถือว่าดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุดในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต


สำหรับการสอบโอเน็ต มีข้อควรระวังหลายประการ เช่น การกรอกข้อมูลส่วนตัว ชื่อ นามสกุล เลขที่นั่งสอบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝนกระดาษคำตอบ แม้แต่การฝนกระดาษคำตอบ หรือการระบายคำตอบ ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้น การเข้าสอบจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ปรากฏทั้งในกระดาษคำตอบและแบบทดสอบอย่างเคร่งครัด


ในขณะที่หากเกิดข้อสงสัยในการสอบ หรือปัญหาไม่ว่ากรณีใด ๆ การสอบถามจากกรรมการหรือผู้ควบคุมห้องสอบ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำข้อสอบ และช่วยขจัดข้อข้องใจ ช่วยลดความเครียดที่อาจเกิดขึ้นได้ ในขณะที่การคิดแก้โจทย์ข้อสอบน่าจะราบรื่นไปด้วย

ปัญหาที่เกิดขึ้นมีค่อนข้างบ่อย มาจากการความไม่รู้หรือไม่อ่านคำสั่งที่ปรากฏในแบบทดสอบอย่างละเอียด และผลของความประมาทที่ว่านี้ส่งผลต่อการสมัครคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในเวลาต่อมา



ขอบคุณข้อมูลจาก " การศึกษาวันนี้ "

http://www.vcharkarn.com/vstudent/4

โยคะ....เพื่อสุขภาพ

โยคะถือว่าเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ซึ่งวันนี้เลยอยากเอาประโยชน์ของการฝึกโยคะมาฝากกันค่ะ เพราะช่วงนี้รู้สึกว่าการเล่นโยคะจะแพร่หลายขึ้นทุกวันเลย เราไปดูประโยชน์ของมันเลยดีกว่าค่ะ....

หน้าที่ 1 - โยคะ....เพื่อสุขภาพ


เช้านี้เป็นไงกันบ้างค่ะรู้สึกสดชื่นเหมือนกันรึเปล่า ใช่ค่ะวันนี้ออยรู้สึกกระปรี่กระเปร่าเป็นอย่างมาก อาจเป็นเพราะช่วง2-3วันนี้ได้ออกกำลังกายด้วยมั๊ง เมื่อคืนก็ลงฝึกโยคะแต่ดูท่ามันก็ยากเหมือนกันแฮะ แต่บอกได้เลยค่ะว่ามันดีจริงๆ และสำหรับวันนี้เลยอยากเอาประโยชน์ของการฝึกโยคะมาฝากกันค่ะ เพราะช่วงนี้รู้สึกว่าการเล่นโยคะจะแพร่หลายขึ้นทุกวันเลย เราไปดูประโยชน์ของมันเลยดีกว่าค่ะ....

ประโยชน์ของโยคะ [ Benefits of YOGA ]


1.เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ปรับระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ บำบัดโรคที่เกี่ยวกับเลือดไม่ดี โรคภูมิแพ้ ลมหมักหมม ผิวพรรณที่ไม่ผ่องใส สมองไม่ปลอดโปร่ง มึนศีรษะง่าย

2.ด้านกายภาพบำบัด
• กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเอ็น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การเดินคล่องขึ้น การทรงตัวดีขึ้น
• กระดูกสันหลังถูกปรับให้เข้าสภาพปกติ ป้องกันอาการปวดหลัง ปวดต้นคอ หรือ ปวดศีรษะ และปรับรูปร่างให้สมดุล กระดูกไม่งอ ไหล่ไม่เอียง
• ท่าบริหารโยคะบางท่าถูกดัดแปลงใช้กับคนชรา และคนพิการเพื่อสามารถฝึกบนเตียง หรือบนรถเข็นได้

3.กระตุ้นสมองให้มีความจำดีขึ้น
• การผ่อนคลายลึก ๆ หลังการฝึก ทำให้เกิดคลื่นอัลฟา มีผลต่อการผ่อนคลายต่อสมอง
• คลายความเครียด แก้โรคนอนไม่หลับ

4.นวดอวัยวะภายในให้แข็งแรงขึ้น เช่น หัวใจ มดลูก กระเพาะอาหาร ตับ ไต เป็นต้น ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น เลือดไปที่ไตล้างไตให้สะอาดขึ้น ระบบการหายใจจะโล่งขึ้น ทำให้การเผาผลาญแคลอรีในร่างกายเพิ่มขึ้น ได้พลังงานเสริมความแข็งแรง



5.ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
• ร่างกายมีสัดส่วนดีขึ้น สวยงามขึ้น
• ช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างดี

6.ด้านจิตบำบัด
• จิตสงบและมีสมาธิมากขึ้น
• ลดความวิตกกังวลและอาการที่ตื่นกลัว
• นักกีฬา นักเต้นรำ นักแสดง อาจใช้โยคะเพื่อกำจัดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และเพิ่มสมาธิก่อนการแข็งขัน ก่อนการแสดง
• นายแพทย์ ดีน ออร์นิช ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจจากแคลิฟอร์เนีย ได้ผสมผสานโยคะแบบใหม่ในการรักษาผู้ป่วย โรคหัวใจ
• โครงการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง และศูนย์วิจัยในแคลิฟอร์เนีย สอนโยคะให้ผู้ป่วยในระยะสุดท้าย เพื่อให้รู้สึกสงบ

7.เพศสัมพันธ์บกพร่อง สามารถบรรเทา หรือแก้ไขได้ด้วยท่าโยคะหลาย ๆ ท่า

ไงคะเห็นประโยชน์เยอะขนาดนี้แล้ว เริ่มที่จะอยากขยับตัวยักย้ายส่ายสะโพกเพื่อออกกำลังกายกันบ้างรึยังค่ะ แต่ขอเตือนหน่อยนึงว่าตอนเพิ่งฝึกอย่าทำแบบหักโหมนะคะ ไม่งั้นจะเป็นอันตรายได้ค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากThailaponline

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

เรื่องจริงของหนัง AV ติดเรต ที่มาจากญี่ปุ่น

เราคงเคยนึกสงสัยว่าเหตุใดทำไมผู้ชาย ญี่ปุ่น(บางส่วน) ถึงได้โรคจิตนัก?ทำไมญี่ปุ่นถึงเป็นประเทศอุตสาหกรรมหนัง AVทำไมนางแบบวัยเอ๊าะถึงมีรูปโป๊เปลือยออกมาแทบไม่เว้นแต่ละวัน? นั้นเพราะประเทศญี่ปุ่นมีความอิสระทางเพศมากกว่าด้วยเพราะประเทศญี่ปุ่นใน ปัจจุบันนั้นแทบไม่บอกตรงตัวว่าศาสนาไหนเป็นศาสนาประจำชาติเลยคนญี่ปุ่นบาง คนควบสองศาสนา หรือไม่มีศาสนานับถือด้วยซ้ำ หรืออาจจะนับถือศาสนา "วัตถุนิยม" ก็ได้?

อย่างที่รู้กันว่า ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเรียกว่าเป็นยักษ์ใหญ่ความเจริญในเอเชีย ก็ว่าได้นวัตกรรมเทคโนโลยีล้วนแล้วมาจากมันสมองของญี่ปุ่นทั้งนั้นเรียกว่า กลายเป็นประเทศทุนนิยมเต็มตัว และประชากรในประเทศเริ่มจะกลายเป็นนับถือศาสนา "บริโภค" นิยมกันไปเสียแล้ว? โตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่นนั้นได้เคยขึ้นแท่นแชมป์ค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกแค่ใน ย่านฮาราจุกุเพียงพื้นที่เท่ากระดาษเอสี่ ก็มีราคาถึง 4 ล้านเยน(1,200,000 บาท) ค่าบะหมี่ชามเท่า 25 บาทไทยแต่ที่บ้านพี่ยุ่นชามละขั้นต่ำ 600 เยน (180 บาท)เรียกว่าใครจะไปเที่ยวญี่ปุ่นต้องกระเป๋าหนักเลยทีเดียว ...เพราะฉะนั้นข้าวของทุกอย่างในญี่ปุ่นจึงแพงหมด

รัฐบาลญี่ปุ่นใน เวลานี้กำลังเผชิญหน้าปัญหาเศรษฐกิจที่เรียกว่าผีซ้ำด้าม พลอยเลยทีเดียว เจอทั้งอัตราคนว่างงาน(คนเลือกงานมากขึ้นและบางทีบริษัทก็ไม่มีนโยบายรับคน ทำงานเพิ่ม) คนงานที่เกษียณตัวเองช้าลง(เกษียณอายุ 75 ปี) คนหนุ่มสาวก็น้อยลง (เจอปัญหาฆ่าตัวตายกันปีละ 3,000คน)แรงงานหนุ่มสาวที่แข็งแรงก็หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร...แล้ว ไหนจะเจอปัญหาคนญี่ปุ่นบ้านิยมวัตถุตั้งแต่เด็กยันแก่? ความเครียดจากปัญหาที่รุมเร้าเช่นนี้ อาจทำให้คนญี่ปุ่นเกิดเพี้ยนขึ้นมาได้? "ใครที่แตกต่างอยู่คนเดียว คนนั้นเป็นตัวประหลาด"

เราคงเคยเห็นในการ์ตูนผู้หญิงญี่ปุ่นที่ตัว นางเอกมักจะถูกเพื่อนหญิงร่วม ชั้นรังแก ด้วยเพราะความเป็นคนเชยยากจน ไม่สามารถเข้าพวกกับกลุ่มไหนได้โดยนางเอกก็มักจะเป็นยัยเฉิ่มไม่ทันคนเป็น ของเล่นให้เพื่อนแกล้งทุกวันโดยไม่โต้ตอบนี่เป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ไฮคลูสญี่ปุ่นที่กลายเป็นเรื่อง "ธรรมดา"ไปเสียแล้ว? เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อกันว่า ฉะนั้น ใครที่ไม่อยากถูกรังแก จะต้องปรับตัวเข้ากับสุภาษิต ที่ว่า "เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม" อย่าง ที่เราสังเกตแค่เยาวชนในปัจจุบันของประเทศเราว่าเริ่มบ้าวัตถุแล้วใน ประเทษญี่ปุ่นนี้ยิ่งกว่าเด็กสาวบางคนแทบจะไปสุมตัวอยู่ตามร้านอาหารแดก ด่วนคาราโอเกะมากกว่าจะไปโรงเรียนเสียอีก และต่างก็มีอุปกรณ์ประจำตัวทั้งโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดัง กระเป๋านำเข้าแพงๆ เครื่องสำอางค์อิมพอร์ตแต่งหน้าทำผมแบบแทบจะเปลี่ยนทุกวัน...อย่าเข้าคิดว่า เด็กสาววัยทีนเหล่านี้ช่างอู้ฟู้ร่ำรวยทุกคนนะจ๊ะลำพังเงินเดือนพ่อแม่นั้น คงไม่พอจะสนองไลฟ์สไตล์ของพวกเธอแน่...เพราะฉะนั้นจะต้องหา "ลำไพ่พิเศษ" เพื่อมาซับพอร์ต

ใครเคยดูหนัง AV บ้าง? แถมเลยว่าร้อยทั้งร้อยตอบมาว่า "เคยดู" แต่ใครจะชอบมากชอบน้อยนั้นก็แตกต่างกันไป หนัง AV ที่ว่าก็คือ เป็นภาพยนตร์วิดีโอ วีซีดี หรือดีวีดี ที่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องทางเพศสัมพันธ์! โดยมีการแบ่งเรตหนังออกเป็นทั้ง NC R X

โดยหนัง NC และ Rนั้นจะมีเนื้อหาพล็อตเรื่องที่มาที่มาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวบอกที่มาที่ไป ของตัวละครโดยแบ่งเนื้อหาออกครึ่งนึง...และอีกครึ่งเป็นฉากทางเพศสัมพันธ์ หรือเลิฟซีน เพียงแต่เป็นเลิฟซีนที่ให้เห็นพอหวือหวา ไม่ถึงกับ "สอดใส่"กันจริง ทำเพียงให้คนดูคิดดูเสมือนเท่านั้นซึ่งพบได้ในหนังฮอลลีวู้ดในปัจจุบัน ที่แม้แต่ฉายขึ้นเป็นหนังโรงใหญ่ได้ แต่หนังเรตนี้เริ่มไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้ว เพราะเป็นการลงทุนที่สูงสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ หากไม่ใช่ผู้กำกับระดับออสการ์ ลูกโลกทองคำสัตว์สารพัดทองคำทั้งหลาย ที่ทำหนังเพื่อศิลปะ ส่งประกวด หรือใจรักจริงๆไม่มีสปอนเซอร์ที่ไหนใคร่จะลงทุน โลกของธุรกิจอย่างไรก็ต้องการ "กำไร" คืนโดยใช้การ "ลงทุน" ให้น้อยที่สุด

หนัง เรต X จึงได้รับความนิยมที่สุดในวงการหนัง AV ญี่ปุ่น! ด้วยเนื้อหาของเรต X นั้น ไม่ต้องการพล็อตเรื่อง ที่มาที่ไปหรืออะไรที่เป็นเหตุเป็นผลทั้งสิ้น เนื้อหาจากเริ่มต้นถึงจุดจบของมันมีเพียงแต่เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ ที่เล่นจริง เจ็บจริง ทั้งนั้น! เริ่มต้นด้วยสร้างทีมงานขึ้นมาก่อนแล้ววางแนวเรื่องว่าจะให้เป็นไปในธีมไหน? จะถ่ายกล้องแบบไหน?มีจัดสถานที่แบบใดบ้างแล้วแต่ทุน ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ก็จะได้ฉากที่สวยงามแต่ถ้าเบี้ยน้อยหอยน้อย อาจลักแอบใช้สถานที่ทางราชการ โรงแรมหรือแม้แต่ตามตรอกซอกซอยเปลี่ยวกับพุ่มไม้ในสวนสาธารณะก็เป็นอันใช้ ได้(แม้แต่เมืองไทยเอง โรงแรมดังก็โดนลักถ่ายทำไปหลายครั้งเช่นกัน)

เมื่อ ทีมงานพร้อมแล้ว การหาตัวแสดงก็เป็นลำดับต่อไป...โดยเฉพาะนางเอก นางเอกที่ทีมงานคัดนั้นอาจติดต่อโมเดลลิ่งที่จัดหานางเอกหนังนี้โดยเฉพาะนาง เอกเหล่านี้มีข้อดีก็คือมีประสบการณ์ รู้หลักการแสดง แต่ข้อเสียก็คือค่าตัวแพง เพราะแน่นอนว่าโมเดลลิ่งนั้นต้องขึ้นค่าตัวสูง ...

วิธียอดนิยมรองลงมาแต่เสียเวลาหน่อย แต่ต้นทุนถูกนักแล คือ แมวมอง... ...แมวมองจะเริ่มมองหาหญิงสาวที่เข้าสเป็ค (หน้าตาน่ารัก ขาวหมวย แอ๊บแบ๊วที่สำคัญ หน้าอกใหญ่ได้ยิ่งดี) จากนั้นก็จะแนะนำตัวว่ามาจากบริษัทอะไรบอกเนื้อหาและพล็อตเรื่อง รวมถึงราคาค่าตัว โดยราคาค่าตัวนั้น ถึง 1 ล้านเยน (300,000 บาท)ต่อหนึ่งเรื่อง!

สำหรับนักแสดงหน้าใหม่! เงิน 1 ล้านเยน ญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ ลำพังคนทำงานทั้งปี ยังเก็บไม่ได้เท่านี้เลย ฉะนั้น แค่ถ่ายหนังเพียงชั่วโมงสองชั่วโมง ก็ได้เงินก้อนใหญ่มาแล้ว! 1 ล้านเยน น่าจะซื้อกระเป๋าหลุยส์ติ๊งต๊องได้สักใบแล้ว แลกกับการมาร่วมรักกับผู้ชาย(หรือเลสเลี้ยน) เด็กสาวใจแตกส่วนใหญ่ จึงเต็มใจที่จะถ่ายหนัง AVแบบไม่ตะขิดตะขวงอะไร!นั้นเพราะพวกเธอเองก็เสียสาวให้แฟนหนุ่มคนแรกแล้ว (และก็เลิกบ้างไม่เลิกบ้าง) ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น แถมได้ตังค์อีกก็เป็นกำไรมากกว่าสัมพันธ์รักกับแฟนหนุ่มเสียด้วยซ้ำ (เพราะนอกจากเสียแล้วไม่เห็นจะให้ตังค์เลย)

เนื้อหาของหนังเรต X แทบจะไม่มีพล็อตเรื่องเลยมาฉากแรกก็อาจเห็นนางแบบสาวในชุดเต็มตัว สัมภาษณ์หน่อยๆว่ามาถ่ายหนังนี้เพื่ออะไร ก่อนที่จะค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกหรือไม่ก็แต่งตัวชุดคอสเพลย์หวาบหวิว บางคนอยู่ในชุดโรงเรียนดังด้วยซ้ำจากนั้นก็เริ่มการโชว์ "ของที่แม่ให้มา" อย่างทีละนิดละหน่อยจากนั้นก็ "ช่วยตัวเอง" ด้วยการลูบไล้ตามร่างกายตัวเองทำหน้าตาให้รู้สึกอารมณ์คราง จากนั้นก็จะมีผู้ช่วยซึ่งอาจจะเป็นทีมงานถ่ายทำ หรือ "พระเอก" เข้ามาช่วย "เล้าโลม" ให้นางเอก "อุ่นเครื่อง" ในยกแรกก่อน

หลังจากนั้น ในยกสอง ส่วนใหญ่ก็จะไปยังเตียงซึ่งก็แล้วแต่ทีมงานจะลงทุนเตียงหรูหราระดับศิลปะ หลุยส์ หรือแค่เตียงเก่าๆแล้วแต่ทุน จากนั้นก็ปล่อยให้สองพระเอกต่างช่วยกันเล้าโลมเมื่อโหมโรงได้ที่แล้ว จึงเข้าสู่สนามจริงกัน ระยะเวลานั้นอาจจะยกเดียวจอดหรือพักไปสักยกแล้วเปลี่ยนตัวพระเอกมาเพื่อความ หลากหลาย ในบางเรื่องนั้นอาจเล่น 3P ขึ้นไป (เซ็กซ์หมู่ อาจเป็นชาย 2 หญิง 1หรือหญิง 2 ชาย 1) จำนวนอาจเปลี่ยนแปลงไปและการเล่นรักมากกว่า สองคนขึ้นไปนั้นโดยเฉพาะฝ่ายนางเอกที่ต้องเล่นหลายยกกับชายต่างคนก็จะเรียก ค่าตัวเพิ่มอีกเป็นพิเศษตามจำนวนพระเอกที่เธอต้องเล่น

เมื่อการ ถ่ายทำเสร็จสรรพดีแล้ว รับเงินค่าตัวไปเรียบร้อยแล้วอาจจะสิ้นสุดกัน...แต่บางรายก็ทำเป็นธุรกิจออก หน้าออกตาอย่างเต็มตัวแน่นอนว่า อาชีพนี่ได้เงินง่ายนักแสดงนั้นก็ย่อมติดใจที่จะยึดอาชีพที่แสนง่ายได้ค่า ตอบแทนกำไรหนักเช่นนี้เด็กสาวญี่ปุ่นหลายคนจึงยอมเข้าวงการนี้อย่างเต็มใจ!

วง การหนังเอวีนั้น คล้ายวงการบันเทิงไทยที่จะมีการจัดอันดับหนังเอวียอดเยี่ยม (ไม่ว่าด้านคุณภาพ การแสดง ยอดขายหรือความสวยของนางเอก)นักแสดงสาวเอวีจึงหวังที่จะให้ตัวเองขึ้นแท่น เป็นอันดับหนึ่งด้วยนอกจากการเป็นที่หนึ่งแล้ว จะช่วยกระตุ้นยอดขายหนังที่เธอเล่นทั้งยังเป็นหน้าตา เป็นไอดอลที่ดัง มีเสน่ห์นอกจากนั้นถ้าโชคดียังสามารถต่อยอดเข้าวงการบันเทิงได้ อย่างเช่น ซูฉีที่เคยเป็นดาราโป๊ก่อนจะพัฒนากลายเป็นนักแสดงแถวหน้าของฮ่องกงเทียบชั้น ดาราฮอลลีวู้ด

การเป็นดาราเอวีในสังคมญี่ปุ่นนั้น กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วเด็กสาวบางคนที่ยังเรียนหนังสืออยู่ หากติดท็อปดาราเอ วียอดนิยมเธอจะได้รับคำชมจากเพื่อนๆ เป็นการใหญ่บางรายถึงขั้นลาออกมาเป็นเล่นหนังอย่างเดียว รับทรัพย์อื้อซ่าไม่ต้องเรียนหนังสือให้ปวดหัวอีก...เพราะถึงจบปริญญาตรีมา ก็ตกงานเหมือนกันแล้วจะเรียนหนังสือไปให้เมื่อยตุ้มทำไม? ออกมาทำงานแบบนี้เต็มตัว สบายกว่ากันเยอะเลย และเมื่อเห็นเพื่อนได้ดี ก็ย่อมที่จะสร้างเครือข่ายชักนำเด็กสาวให้เข้าสู่วงการนี้อย่างเต็มใจ โดยมีเม็ดเงินมหาศาลเป็นค่าตอบแทน

สิ่งที่พวกเธอต้องทำเพื่อ กระตุ้นยอดขายนั้นคล้ายงานโชว์พริตตี้โดยมีสินค้า เป็น "ร่างกาย" นั้นเองโดยในย่านช้อปปิ่งญี่ปุ่นนั้นจะมีโซนนิ่งที่ขายของเกี่ยวกับ "เซ็กซ์"โดยเฉพาะ และที่นี่เป็น "พื้นที่โฆษณา" โดยเหล่านางเอกเอวีจะแต่งตัวชุดวาบหวิวออกมาพร้อมกับ ให้เหล่า "ลูกค้า" ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระทึกจากนั้นก็จะมีการแจกใบโฆษณาหนัง ที่เธอเล่นมาให้บรรดาลูกค้าได้จำหน้าเธอได้และโปรโมทให้ไปซื้อหนังแผ่นของ เธอ ....โดยเหล่าผู้ชมสามารถถ่ายรูปเธอได้แบบทุกซอกทุกมุมชนิดว่าอยากถ่ายวิตถาร แค่ไหนก็ได้ตามใจนางเอกบางคนใจถึงก็ถึงกับเปลือยกายให้ชมเป็นออเดิร์ฟก่อน ที่จะซื้อผลงานของเธอกลับไปชมที่บ้าน

เมื่อเกิดค่านิยมว่า "ร่างกายเป็นของฉัน จะทำอย่างไรกับมันก็ได้" พวกเธอใช้คุณประโยชน์ของร่างกายที่ยังอ่อนเยาว์ นั้นหาประโยชน์กอบโกยให้ได้มากที่สุด วงการเอวีนั้นเป็นสงครามที่ดุเดือดมากสาวใดยึดอาชีพนี้จะต้องทำร่างกายให้ เต่งตึงอยู่เสมอประทินผิวให้เปล่งปลั่งเสมอ รวมถึงการลองบทบาทใหม่ๆ เรื่อยๆเพื่อมิให้ซ้ำซากจำเจ แม้จะรู้ว่าอายุนั้นเป็นตัวสำคัญยิ่งพวกเธออายุใกล้เลข 3 มากแค่ไหน ความนิยมก็ยิ่งเสื่อมลงเท่านั้น ...ดังนั้นในช่วงที่อะไรยัง "เต่งตึง" อยู่ ก็ต้องรีบทำกำไรให้มากขึ้นเท่านั้น

แต่รูปแบบหนังเอวีนั้น ไม่ใช่มีแต่พล็อตสมยอม เพราะก็มีลูกค้าที่อยากดูการ "ข่มขืน" โดยนักแสดงที่ไม่เต็มใจ การมองหานั้นก็เหมือนแมวมองทั่วไป แต่มองหาเหยื่อที่มาคนเดียวหรือน้อยกว่า 5 คน จากนั้นก็เข้าไปทามทาบ เพราะตะล่อมง่ายไม่เช่นนั้นก็อาจมีการหลอกลวง...และบางทีถ้าถูกใจแต่ไม่ ยินยอมอาจมีรายการ "ฉุด" กันไปเลย...แน่นอนว่าแบบนี้ไม่ได้ค่าตัวแน่นอนที่ร้ายกว่านั้นอาจมีรายการ กักขังหน่วงเหนี่ยวใช้ให้คุ้มเมื่อหมดสภาพแล้วก็จัดการฆ่าปิด (โดยเฉพาะพวกวิดีโอใต้ดินของยากูซ่าที่ฉุดคนมาถ่ายทำวิดีโอฆ่าขายให้คนดู รสนิยมชอบหนังแนวนี้)

จึงมีคำเตือนในหมู่นักท่องเที่ยวว่าหากไป เดินย่านช้อปปิ้งญี่ปุ่นนั้น ห้ามเดินคนเดียวเด็ดขาด(แม้สองสามคนก็ไม่ควร เพราะทีมงานอาจมาเป็นแก็งส์ ควรเกาะกลุ่มใหญ่ราว 5คนขึ้นไป) เพราะอาจโดนฉุดไปเล่น "หนัง" โดยไม่เต็มใจสูญเสียทั้งตัวทั้งศักดิ์ศรี ไม่ได้เงินแม้แต่สักแดงเดียว

แม้แต่ผู้ชายเองก็อาจโดนฉุดไปเล่น "หนังเกย์" เข้า) พล็อตแนวนี้ได้รับความนิยมมากเพราะผู้แสดงนั้นมีความเป็นธรรมชาติไม่เสแสร้ง แถมยิ่งถ้าเป็นการ "รุมโทรม" ยิ่งยอดขายสูงลิ่วบริษัทหนังหลายเรื่องใช้ให้ผู้กำกับทำพล็อตเรื่องสร้าง เป็นแนวข่มขืน(ให้นักแสดงเล่นประหนึ่งว่าตนเองถูกจับมาข่มขืนแต่มาจับได้ตรง มุมกล้องที่เป็นหนังเกินไป ทำให้รู้ว่าไก่กา) ...พล็อตนี้เป็นที่นิยมสำหรับคนที่ชอบความดิบเถื่อนของสิ่งมีชีวิตที่ได้ ชื่อว่า สัตว์ประเสริฐ

อุตสาหกรรมสื่อโป๊ยังเจริญต่อไปในประเทศ ญี่ปุ่นเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเลย สำหรับประเทศที่มีความเป็นวัฒนธรรมสูงแต่กระนั้นเหตุใดรัฐบาลญี่ปุ่นถึงไม่ เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ทั้งๆที่มันเป็นภาพลักษณ์ทำลายประเทศ แม้แต่ในกฎหมายญี่ปุ่นยังบอกเองว่าสื่อโป๊นั้นเป็นสื่อผิดกฎหมาย ...ทั้งนี้ เพราะมีอิทธิพลจากพวกมาเฟีย ยากูซ่าคอยคุมผลประโยชน์การค้าเนื้อสดตรงนี้อยู่เหล่านักการเมืองไม่กล้า เข้าไปยุ่ง เพราะวิธีตัดสินปัญหาของยากูซ่านั้นตัดสินกันง่ายๆ แค่กระสุนนัดเดียวก็จอด!แถมไม่ใช่แค่ฆ่านักการเมืองที่เข้ามาจุ้นเท่านั้น ยังอาจจะจัดการครอบครัวของผู้จุ้นจ้าน จับภรรยาและลูกๆไปเล่นหนังโป๊เสียให้เข็ด ความมีอิทธิพลมืดขนาดนี้ทำให้นักการเมืองและผู้กุมกฎหมาย จำเป็นต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

ฉะนั้นอยากแปลกใจ ว่า ทำไมผู้ชายญี่ปุ่นถึงวิตถารขนาดนั้น ทำไมเขาถึงได้รังแกผู้หญิงอย่างไม่มีความเมตตา ...เพราะในสายตาของพวกเหล่านี้ ผู้หญิงเต็มใจเป็นของเล่นทางเพศสนองตัณหาให้นั่นเอง ...และด้วยเด็กสาวกลับอยากไปขุดทองในวงการนี่เสียเองวงการหนังเอวีจึงเติบโต อย่างแข็งแกร่งลอยหน้าลอยตาเหล่าผู้อนุรักษ์นิยมไปได้หน้าตาเฉย ด้วยความเรืองอำนาจของระบบบริโภคนิยม...

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาชีพที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก







หนุ่มชิลีทดสอบคุณภาพมีเซ็กซ์กับสาวๆ

รื่องนี้ 18+ เป็นเรื่องแปลก ขำๆ และเป็นสารคดีเกี่ยวกับอาชีพที่พัวพันกับ เซ็กซ์ ตลอดเวลา
เรื่องก็มีอยู่ว่า อาชีพที่ผู้ชายหลายคนใฝ่ฝัน อาจจะมีอยู่หลายอย่าง แต่ชายหนุ่มกลัดมันอย่างพวกเรา ก็คงอดคิดอะไรไม่ได้นอกจากเรื่อง เซ็กซ์ซึ่งนาย Jaime Rascone (ไจม์มี่ ราสคอนเน่) น่าจะเป็นหนุ่มที่น่าอิจฉาที่สุด เพราะเขามีอาชีพเป็น Quality Control และ tester (ควบคุณคุณภาพ และทดสอบ) มี เซ็กซ์ กับเหล่าผู้หญิงขายบริการ
เรื่องก็มีอยู่ว่า นาย Jaime เดิมก็มีอาชีพเป็นดีเจในผับ และเป็นนายแบบสมัครเล่น วันดีคืนดี ไปเจอกับ มาดาม ฟิโอเรลล่า เจ้าแม่ สถานบริการทางเพศ ที่หรูหราที่สุดในชิลี มาดามคนนี้ำกำลังตามหา บุคคลที่ต้อง "สัมภาษณ์ขั้นสุดท้าย" ในการคัดเลือกสุดยอดสาวงามอายุประมาณ 20 ต้นๆ ในสถานบริการของเธอ ซึ่งนอกจะต้อง ถ่ายรูปขึ้นกล้อง ไม่มีภาวะบกพร่องทางจิต เต็มใจทำงานด้านนี้อย่างแท้จริง และที่สุดของที่สุดก็คือ เทคนิค "อย่างว่า" ของเธอก็จะต้องเด็ดสะเด่า จนลูกค้าลืมมิลง
นาย
Jaime เป็นผู้โชคดีที่ได้ทำในตำแหน่งคัดเลือกขั้นสุดท้าย ซึ่งต้องทดสอบด้วยการมี เซ็กซ์ กับสาวๆเหล่านี้ และจดบันทึก ว่า อารมณ์ร่วมของแต่ละนางเป็นอย่างไร เสียงครวญครางพาให้สยิวกิ้วขนาดไหน แรงโยกบั้นเอวของเธอเป็นอย่างไร



(โฉมหน้า นาย Jaime อาชีพที่ทำให้ อึ้ง ทึ่ง เสียว กันไปทั้งโลก)

โดยที่ห้องทดสอบ ก็เป็นโต๊ะทำงาน มีเตียง เสารูด และกระเป๋าหนังที่เต็มไปด้วย ถุงยาง



(
ภาพตามข่าว ซึ่งเป็นการรวมตัวโพสท่า ทำให้ดูเหมือนจะครื้นเครง)

ดูเหมือนกับว่า อาชีพนี้ จะเป็นที่ใฝ่ฝันของใครหลายๆคน แต่บทความบอกว่า การมี เซ็กซ์ ในการคัดเลือก ก็ไม่ได้ต่างจากระบบ "โรงงาน" ก็คือ
ทำให้เสร็จๆ แต่ละคนๆไปตามหน้าที่ ไม่มีอรรถรสในการมี เซ็กซ์ แต่อย่างใด แต่การที่วันๆหนึ่งจะมีเซ็กซ์กับการคัดเลือกสาวๆได้สูงสุด7-8 คน ก็ทำเอาฟ้าเหลืองเข่าอ่อนได้ทีเดียว
นอกจากเหนื่อยยังดูเหมือนจะ
ล้า เสียด้วย เพราะเขาบอกว่า เดือนๆนึงจะขอทำการคัดเลือกแค่วันเดียวเท่านั้น (วันละ 7-8 คน ตามที่กล่าวไปแล้ว)


(
ภาพจำลองขั้นตอนการสัมภาษณ์ พูดคุย)


(
ตามด้วยการเข้าสู่ การตอนยั่วยวน ซึึ่ง Jaime ก็ต้องจดบันทึกไปเรื่อยๆ)

(
แล้วก็ สู่ขั้นตอนทดสอบเชิงปฏิบัติ ตามข่าวบอกว่า ภาพนี้ เป็นเพียงภาพจำลองเหตุการณ์เท่านั้น)

ชิลี เขาลงคุณภาพกันถึงสาวขายบริการกันขนาดนี้ จะเอาให้ได้
ISO-69 หรือไง?? ถ้าไม่อยากฟ้าเหลือง น่าจะมาหาผู้ช่วยแถวนี้บ้างนะครับ เชื่อผมสิ สมัครกันเพียบ.

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

เหลืองที่ไม่เอาอำมาตย์ และแดงที่ไม่เอาทักษิณ

เหลืองที่ไม่เอาอำมาตย์ และแดงที่ไม่เอาทักษิณ
Sun, 21/02/2010 - 10:02 — โตมร ศุขปรีชา

-1-

เธอถามผมว่า “คุณเลือกฝ่ายไหน”
ผมตอบเธอไป-เลือกฝ่ายที่ยอมให้มีอีกฝ่ายอยู่ด้วย

เธอถามต่อว่า “ฉันหมายถึงเหลืองกับแดง”
ผมบอกเธอว่า-ผมก็หมายถึงอย่างนั้น

“ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่มีจุดยืน ไม่มีอุดมการณ์ เป็นนกสองหัว ไร้เดียงสา คุณเลือกอยู่กับใครก็ได้ใช่ไหม”
ใช่-ผมบอก จะเหลืองหรือแดงก็ได้ จะไร้เดียงสาก็ยอม จะว่าโง่ก็ไม่ว่ากัน แต่ต้องเป็นเหลืองที่ยอมให้โลกนี้มีแดง และต้องเป็นแดงที่ยอมให้โลกนี้มีเหลือง

วิธีคิดของเราจะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับว่า คำสวยๆอย่าง ‘อุดมการณ์’ หรือ ‘จุดยืน’ นั้น มันคืออุดมการณ์หรือจุดยืนอะไร ของใคร ใครกำหนด และใครที่ว่า, มองโลกด้วยกรอบแบบไหน

ทำไมเราต้องพยายาม ‘ยัด’ คนอื่นลงไปในกรอบของตัวเองด้วยเล่า-ผมถามเธอกลับ

โลกมีอยู่แค่สองกรอบเท่านั้นหรือ?

-2-
กรอบความคิดของผมไม่ได้อยู่ที่อำมาตย์หรือทักษิณมานานแล้ว แม้ประเทศนี้จะขัดแย้งกันเรื่องนี้ไม่รู้จักจบสิ้น ผมเข้าใจว่า ที่หลายคนนิ่งเงียบมาโดยตลอด ไม่ได้แปลว่าคนเหล่านั้นไม่พยายามทำความเข้าใจกับกรอบของคนที่ต่อต้านอำมาตย์หรือต่อต้านทักษิณ และยิ่งไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่พยายามทำความเข้าใจกับตัวอำมาตย์หรือตัวทักษิณเองด้วย
นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยพูดถึง ‘คนอย่างทักษิณ’ ว่ามีอยู่เต็มไปหมดในเมืองไทย ผมคิดว่าในเวลาเดียวกัน เราก็มี ‘คนอย่างอำมาตย์’ เต็มไปหมดในเมืองไทยด้วยเหมือนกัน แต่ที่ร้ายกาจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทั้ง ‘คนอย่างทักษิณ’ และ ‘คนอย่างอำมาตย์’ นั้น เอาเข้าจริงแปะเอี้ยแล้ว มันก็คือคนอย่างเดียวกัน!

ผมจำได้ว่า เมื่อเดือนเมษายนที่แล้ว คราวที่เกิดเรื่องใหญ่ในกรุงเทพฯจนไม่มีใครมีกะจิตกะใจจะทำมาหากิน ในซอยแถวบ้าน-แม่ค้าคนหนึ่งยืนมองถนนอันว่างเปล่าไร้ลูกค้าด้วยดวงตาแห้งผาก เธอเป็นแดง เคยเป็น ยังเป็น และคงเป็นต่อไป แต่เธอก็ปรารภกับเพื่อนแม่ค้าชาวเสื้อแดงอีกคนออกมาดังๆว่า “นี่โลกจะแตกแล้วหรือวะ”

เพื่อนแม่ค้าตอบเธอว่า “ถ้าแตกจริงๆก็ดีสินะ” แล้วเธอก็หันมามองหน้าผม “ใช่มั้ยคะคุณ จะได้พ้นทุกข์กันไปเสียที”
ผมไม่ได้ตอบอะไรเธอ เพราะผมไม่รู้จะตอบอะไร


-3-
ถ้าอยากจะ ‘พ้นทุกข์’ ผมว่าอย่างแรกสุด เราต้อง ‘มองให้เห็น’ กันเสียก่อน ว่าทั้งระบอบอำมาตย์ และระบอบทักษิณ ต่างก็เป็นระบบอุปถัมภ์ทั้งคู่
ลักษณะสำคัญของระบบอุปถัมภ์ที่เราไม่ค่อยมองกันก็คือ มันจะอยู่ไม่ได้ ถ้ามีแค่ผู้อุปถัมภ์ เพราะมันต้องการผู้ ‘ถูกอุปถัมภ์’ ด้วย เช่น กษัตริย์ยุโรปสมัยโบราณจะอุปถัมภ์นักดนตรี ก็ต้องอุปถัมภ์นักดนตรีที่เก่งพอที่จะแต่งเพลงเยินยอพระเกียรติได้เป็นที่ยอมรับกันในผู้รู้ด้านดนตรีในราชสำนักยุโรป ไม่อย่างนั้นก็เป็นได้แค่พระราชาใส่เสื้อล่องหนจนโป๊เปลือยเป็นที่หัวเราะเยาะเหมือนในนิทานของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน-ไม่มีความหมาย นักการเมืองประชานิยมก็เหมือนกัน ถ้าอยากจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้อุปถัมภ์ ก็ต้องได้รับการอุปถัมภ์จากประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเสียก่อน

โดยนัยนี้ ผู้ถูกอุปถัมภ์จึงมีสถานะเป็นผู้อุปถัมภ์ของผู้ถูกอุปถัมภ์ด้วย (งงไหมครับ) ชาวนายากจนเป็นผู้อุปถัมภ์คนที่พวกเขาต้องยกมือปะหลกๆกราบไหว้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้านที่เคยให้ความช่วยเหลือ กำนัน ผู้แทนฯ ไปจนถึงเจ้าพ่อในท้องถิ่น, พนักงานบริษัท (ที่ไม่กล้าตั้งสหภาพแรงงาน เพราะคิดว่าเจ้าของบริษัทเป็นผู้มีบุญคุณอุปถัมภ์ตัวเอง) ก็อุปถัมภ์เจ้าของบริษัทอยู่, คุณนายหาเงินเรี่ยไรมาให้คุณหญิงทำกุศล, นายสิบหาเงินมาให้นายร้อย และสูงขึ้นไปใน ‘ชั้น’ ของ ‘ชน’ ในสังคมนี้ ต่างก็เป็นเช่นนี้ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ เพราะต่างก็ตกอยู่ใต้ระบบอุปถัมภ์ทั้งสิ้น โดยไม่เคยตระหนักเลยว่า-ผู้ถูกอุปถัมภ์ก็คือผู้อุปถัมภ์ด้วย!

น่าเสียดาย, ที่เราไม่ค่อยรู้ตัว เราจึงมักคิดว่าเราไม่มีอำนาจจะทำอะไร แล้วเราก็คิดว่าเรา ‘ทุกข์’ อยู่อย่างนั้น

แต่ถ้าเรา ‘เห็น’ ว่าทั้งระบอบอำมาตย์และระบอบทักษิณต่างก็เป็นระบบอุปถัมภ์ และรู้ว่า ผู้ถูกอุปถัมภ์มีอำนาจอยู่ในตัว สามารถ ‘ล้ม’ การอุปถัมภ์นั้นเมื่อไหร่ก็ได้ เราก็จะ ‘กล้า’ ที่จะ ‘เห็น’ ให้ชัดเจนขึ้น ว่าทั้งสองระบอบต่างก็มีความฉ้อฉลอยู่ในตัวเองทั้งคู่อย่างที่ยากจะปฏิเสธ

ระบอบทักษิณกับการทุจริตเชิงนโยบาย ระบอบอำมาตย์ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยวิธีคิดสองมาตรฐาน (หรือกว่านั้น) มาโดยตลอด ในแง่หนึ่ง ทั้งสองระบอบเป็นระบอบที่เห็นว่าใครบางคน ‘วิเศษ’ กว่าคนอื่นอยู่เสมอ ด้วยฤทธิ์ของความคิดที่ว่า ‘ผู้อุปถัมภ์’ จะต้องเหนือกว่าผู้ถูกอุปถัมภ์ ต้องถูกกราบไหว้เป็นผู้วิเศษนั่นเอง และความวิเศษนั้นก็ถ่ายทอดลงมาตาม ‘ชั้น’ ของ ‘ชน’ ทีละขั้นๆ

แต่ถ้าเรา ‘เห็น’ เสียแล้ว ว่านี่คือสิ่งที่เป็นไป ต่อไปไม่ว่าเราจะเป็นเหลืองหรือแดง เราก็จะเป็นเหลืองหรือแดงที่ ‘ตื่น’ และการ ‘ตื่น’ ก็จะทำให้เรา ‘เลือก’ ที่จะไม่เอาทั้งอำมาตย์และไม่เอาทั้งทักษิณชนิดหมอบราบคาบแก้ว นั่นคือเลือกที่จะไม่เอา ‘ระบบอุปถัมภ์’ ในแบบที่เป็นอยู่นี้ (แต่ก็ต้องตระหนักด้วยว่า ระบบอุปถัมภ์ไม่ได้มีแต่ข้อเสีย ข้อดีของมันก็มีอยู่ และมีอยู่มากด้วย)

โปรดสังเกตว่า ผมไม่ได้บอกว่าเราควรจะต้องลุกขึ้น ‘ไม่เอา’ ทั้งสองระบอบถ่ายเดียวนะครับ ใครจะ ‘เอา’ ก็ได้ แต่ต้อง ‘เอา’ ด้วยการตั้งคำถาม ด้วยการตรวจสอบให้โปร่งใส เพราะสำหรับผม ทั้งระบอบทักษิณและระบอบอำมาตย์ไม่ได้ขาวหรือดำ ต่างมีข้อดีข้อเสียทั้งคู่ ผมเพียงแต่จะบอกว่า เราไม่ควร ‘ศิโรราบ’ หมดเนื้อหมดตัว เพราะคิดว่าเราไม่มีอำนาจ ไม่มีปัญญา ไม่มีบารมี เป็นแค่ตัวเล็กๆที่ถูกอุปถัมภ์มาตลอดชีพ

ความขัดแย้งในเวลานี้ซับซ้อนขึ้น แต่ยังไม่ได้ซับซ้อนออกไปนอกกรอบ ‘ทวิลักษณ์’ เลย เรายังเห็นโลกเป็นสองข้างขาว-ดำ อยู่เหมือนเดิม และที่สองฝ่ายดูเหมือนมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะคนธรรมดาๆอย่างเราได้ ‘เลือก’ เดินเข้าไปข้างใดข้างหนึ่ง และที่เราทำอย่างนั้น-ก็เพื่อ Empower ตัวเอง

เป็นเรื่องยากมากกว่า ที่จะยั้งตัวเองยืนมองและทำความเข้าใจอยู่ข้างนอก เพราะการกระโดดเข้าร่วมฝั่งใดฝั่งหนึ่ง จะช่วย empower ตัวตนของเรามากขึ้น มีพวก มีฝูง มีคนสนับสนุนโห่ร้องกึกก้อง เสียงของเราจึงดูเหมือน ‘ดัง’ กว่าปกติ (แม้จะเรียกร้องให้ Undo การรัฐประหาร ราวกับคิดว่าตัวเองอยู่ในเกมที่ไม่ได้เซฟ และทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไป) ส่วนคนที่ไม่ได้อยู่ในกรอบการต่อสู้เหลือง-แดง หรือ อำมาตย์-ทักษิณ ดูจะเหงาโหวงวังเวงราวกับอยู่ในป่าช้า พูดอะไร อธิบายอะไรที่ซับซ้อนแค่ไหนไป-ก็ไม่มีใครฟัง นอกจากไม่มีใครฟังยังถูกด่าซ้ำ

อย่างไรก็ตาม โปรดทำความเข้าใจด้วยว่า เวลาผมพูดถึง ‘ทักษิณ’ หรือ ‘อำมาตย์’ ผมไม่ได้หมายความถึงใครเป็นคนๆไปหรอกนะครับ แต่ผมหมายความถึงสมุหภาพที่ทำให้เกิดคนอย่างนั้นขึ้นมา แล้วที่สุดก็กลายเป็น ‘คนอย่างทักษิณ’ และ ‘คนอย่างอำมาตย์’ กระจายกันอยู่บน ‘ชั้น’ ของ ‘ชน’ ซึ่งได้บอกไปแล้วว่า-ที่แท้คนพวกนี้มันก็คนประเภทเดียวกัน

แล้วเรายังจะศิโรราบเอาคนพวกนี้ขึ้นมาไว้บนหัวของเราอยู่อีกหรือ?
-4-
กลับมาที่คำถามของเธอคนแรก-แล้วเราจะ ‘เลือก’ ฝ่ายไหนดี
คำตอบที่ว่า ‘เลือกฝ่ายที่ยอมให้มีอีกฝ่าย (หรือฝ่ายอื่นๆที่ไม่เห็นด้วยกับตัว) ดำรงอยู่ได้ในสังคมเดียวกัน’ คงเป็นคำตอบที่ไม่ถูกใจทั้งเหลืองและแดงที่ดูจะเป็น Fundamentalism กันไปหมดแล้ว บางคนบอกว่า ให้แยกกลุ่มกันไปเลยเหมือนเดโมแครตกับรีพับลิกัน แต่ผมคิดว่าเราเทียบเคียงแบบนั้น ‘ยัง’ ไม่ได้ เพราะคนที่เป็นเดโมแครตกับรีพับลิกันนั้น อย่างน้อยที่สุดต่างก็มีความ ‘เท่าเทียม’ กันโดยทั่วไปในสภาพความเป็นอยู่ ในชีวิตที่เป็น ‘จริง’ ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็มีชีวิตอยู่รอดได้ ‘จริง’ ในสภาพสังคมโดยทั่วไปของประเทศแห่งนั้น

แต่แม่ค้านัยน์ตาว่างเปล่าบนท้องถนนสองคนนั่นต่างหาก พวกเธอและ ‘คนอย่างพวกเธอ’ ไม่มีกะจิตกะใจจะ ‘ต่อสู้’ กับอะไรหรอกครับ เพราะแค่ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตให้รอด ก็ยังลำบาก ช้างสารที่ไหนจะรบกันก็เชิญรบกันไปเถิด คนที่เจียมตัวเสมอว่าเป็นหญ้าแพรก ขอหนีจากตีนช้างให้ได้ก็พอแล้ว

แต่คำถามก็คือ เราจำเป็นต้อง ‘เจียมตัว’ ว่าเราไม่มีอำนาจหรือมีอำนาจจำกัดจำเขี่ยตลอดไปจริงๆหรือ

ปลดแอกออกมาเป็นเหลือง แดง เขียว ม่วง ขาว เทา ดำ หรือสีรุ้ง ที่เป็นตัวของตัวเองและหัดยอมรับคนที่คิดต่างอย่างแท้จริงได้ไหม

การต่อสู้นั้นจะได้บริสุทธิ์ และผมจะได้สะดวกใจที่จะก้าวเข้าไปร่วมมือกับพวกคุณด้วยคนเสียที

เพราะมีแต่เมื่อทำได้อย่างนี้ จึงจะเป็นการต่อสู้ของประชาชนอย่างแท้จริง

ตีพิมพ์ครั้งแรกใน เนชั่นสุดสัปดาห์ ประจำวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา


""" แววตาที่ยังมุ่งมั่นในวัย 57 ปี """
... จากปฏิบัติการณ์บุกโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ฯ บริเวณทางเข้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเด็นการใช้ "แก๊สน้ำตา" ต่อผู้ชุมนุม จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ..
... สร้าง"ตราบาป" ให้กับวงการตำรวจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายฝ่ายได้ออกมา "ประนาม" การกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุในครั้งนี้ แม้ทางเจ้าหน้าที่จะออกมาอ้างเหตุผลต่างๆนานา เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง แต่ ก็ไม่สามารถลบภาพการกระทำอันเลวร้าย ในเหตุการณ์ " 7 ตุลาทมิฬ" ได้ ที่ทำให้ " ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" กลายมาเป็น " ผู้พิฆาตประชาชน " ...
... สงสารและเห็นใจตำรวจน้ำดีอีกจำนวนมาก ที่ตั้งใจทำงานอุทิศกายและใจ เพื่อความสงบสุขของประชาชนและประเทศชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ชื่อเสียงพลอยมัวหมองจากการกระทำของคนสีเดียวกัน..
""" พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.กระดูกเหล็ก แห่ง สภ.บันนังสตา ยะลา หรือ " จ่าเพียรมือปราบ " ..ในอดีต ..

... สิ่งที่จะได้นำมาเสนอในครั้งนี้ ไม่ใช่จะมาช่วยกู้ภาพลักษณ์ให้กับวงการตำรวจ "แต่อยาก" นำแบบอย่างของ "ตำรวจดี " นายหนึ่งที่ตลอดทั้งชีวิต ในเครื่องแบบสีกากี ตั้งแต่ เป็น " พลตำรวจ " จนถึงปัจจุบัน " พันตำรวจเอก " กว่า30 ปี ที่เขาทำงานคลุกคลีอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านการปะทะกับกลุ่มก่อความไม่สงบมานับร้อยครั้ง ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ หลายต่อหลายหนจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ปัจจุบัน นายตำรวจผู้นี้ดำรงตำแหน่ง " ผู้กำกับการตำรวจภูธร สภ.บันนังสตา จ.ยะลา " ...
... ใช่แล้ว เขาคือ " พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา " ผู้กำกับฯ " กระดูกเหล็ก " แห่งวงการตำรวจชายแดนใต้ ที่ชื่อเป็นที่ครั่นคร้ามของกลุ่มแนวร่วมฯ ในนามของ " จ่าเพียรมือปราบ " ฉายาที่ติดตัวมาตั้งแต่เป็นตำรวจชั้นประทวน ..
... ตั้งแต่ปี 2513 หลังจบการศึกษา โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา พลฯสมเพียร เอกสมญา ถูกส่งเข้าเป็นตำรวจประจำ สภอ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งในขณะนั้น พื้นที่ดังกล่าว เป็นเขตเคลื่อนไหวของขบวนการโจรก่อการร้าย แบ่งแยกดินแดน อย่างหนักทำให้ภาครัฐต้องระดมสรรพกำลัง ทั้งทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง เข้าไปแย่งชิงมวลชน และดูแลความสงบเรียบร้อย หลายครั้งที่เกิดการปะทะ ทำให้มีการสูญเสียอย่างหนักทั้งสองฝ่าย และ ปฐมบทแห่งการเป็น จ่าเพียรมือปราบ ก็เกิดขึ้นที่นั่น ...
"""" ผู้ฝากผลงาน ด้านการสืบสวน ปราบปราม สู้กับ โจรก่อการร้าย ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มากว่า 30 ปี """

... จากชีวิตตำรวจที่คลุกคลีอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด เขาได้สร้างผลงานด้านการปราบปราม ต่อสู้กับโจรก่อการร้ายอย่างห้าวหาญ สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ของผู้บังคับบัญชา ทำให้กรมตำรวจ (ในขณะนั้น) ได้อนุมัติให้เข้ารับการ อบรมหลักสูตร " นายตำรวจสัญญาบัตร " โดยไม่ต้องสอบคัดเลือก และได้รับการเลื่อนลำดับขั้น จากผงพวงการทำงานอย่างหนักมาโดยตลอด ...
""" เมื่อครั้งนำกำลังเจ้าหน้าที่ เข้าช่วยเหลือ นักบินและช่างเครื่อง ที่รอดชีวิต จากเหตุเฮลิคอปเตอร์ ตำรวจ ตก ที่เขื่อนบางลางเมื่อปลายปี 50 """

... และหากนับผลการปฏิบัติราชการตรวจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ ปี 2513 จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่เป็น " พลตำรวจ" จนถึงยศ "พันตำรวจเอก " เขาได้เข้าทำการปะทะต่อสู้กับโจรก่อการร้าย โจรจีนคอมมิวนิสต์ มาแล้วนับ 100 ครั้ง สามารถสังหารฝ่ายตรงข้าม ยึดอาวุธปืน และที่พักเป็นจำนวนมาก ซึ่งผลในการนำกำลังเข้าปะทะกับโจรก่อการร้ายดังกล่าว ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บทั้งเล็กน้อยและสาหัส จำนวน 8 ครั้ง เช่นในปี 2519 ได้ยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย กลุ่มนายลาเตะ เจาะปันตัง ที่จับกุมตัวตำรวจและครอบครัวไปเรียกค่าไถ่ ที่เทือกเขาเจาะปันตัง อ.บันนังสตา จ.ยะลา ผลการปะทะทำให้ เขา ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณขาซ้าย หน้าอกได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกส่งรักษาตัว รพ.ศูนย์ยะลา และจากการปะทะในครั้งนี้ทำให้ขาข้างซ้ายแทบพิการ ..
""" ไม่ทิ้งงานมวลชน ในพื้นที่ """

... และปี 2526 ได้ยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย กลุ่มนายคอเดร์ แกแตะ กับพวกประมาณ 30 คน ที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ทำให้ได้รับบาดเจ็บถูกยิงที่ต้นขาขวากระสุนฝังใน ...
... เป็นต้น ..
... จากความทุ่มเท มุ่งมั่น ทำงานอย่างหนักในพื้นที่ ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ มวลชนให้ความยอมรับให้ความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ " ฝ่ายตรงข้ามเกรงกลัว " จนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง ในปี 2550 เขาได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง " ผู้กำกับการตำรวจภูธร สภ.บันนังสตา จ.ยะลา แห่งเดียวกับที่เริ่มรับราชการครั้งแรก เมื่อยังเป็นตำรวจชั้นประทวน ...
""" เครื่องแบบนายตำรวจ น้อยครั้งที่จะนำมาสวมใส่ เนื่องจากต้องการทำตัวให้ใกล้ชิด และ เข้าถึงชุมชนให้มากที่สุด """
... พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา กลับสู่บันนังสตา ในขณะแผ่นดินกำลังลุกเป็นไฟ กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ สามารถจัดตั้งแนวร่วมฯ และกองกำลังรบขนาดเล็ก ( RKK) เพื่อใช้ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ ให้ได้รับความสูญเสียเป็นจำนวนมาก โชคดีที่ พ.ต.อ.สมเพียร เคยทำงานอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นเวลานาน แม้รูปแบบการก่อความไม่สงบของกลุ่มคนร้ายได้ปรับเปลี่ยนไปจาก เมื่อ เกือบ 30 ปี ที่แล้วมาก แต่อาศัยเป็นผู้ชำนาญในพื้นที่มาก่อน และมีแหล่งข่าวเก่าที่เคยทำงานร่วมกันในอดีต จึงไม่เกินความสามารถที่จะที่จะสืบเสาะหาแหล่งกบดาน และติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบ และหลังจากเขาเข้ามารับตำแหน่ง ผกก.สภ.บันนังสตาได้ไม่นาน วันที่ 1 สค.50 ได้ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดเข้าปิดล้อมตรวจค้น และยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้ายที่บ้านเตี๊ยะ หมู่ 5 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา กลุ่มนายสุริมิง เปาะสา ที่ก่อเหตุร้ายในพื้นที่หลายครั้ง ผลการปะทะ ทำให้กลุ่มคนร้ายเสียชีวิต 6 ราย สามารถยึดอาวุธปืนสงครามและยุทธภัณฑ์ได้เป็นจำนวนมาก ...
... นอกจากนี้ยังได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และพลเรือน เข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายอีกหลายครั้ง สามารถจับกุม สร้างความสูญเสียให้กับกลุ่มคนร้าย และทำลายฐานที่มั่น ได้หลายแห่ง จนขบวนการกลุ่มก่อความไม่สงบ รวมตัวกันไม่ติด หนีหลบซ่อนออกนอกพื้นที่และบริเวณป่าเขา ทำให้เหตุร้ายใน พื้นที่ อ.บันนังสตา เบาบางลงมาก ...
... แม้ พ.ต.อ.สมเพียร จะมีความสามารถในงาน สืบสวน ปราบปราม แต่ งานมวลชน เขาก็ไม่ได้ละทิ้ง ยังคงติดต่อฟื้นสายสัมพันธ์เก่า กับประชาชนทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่ ที่เคยทำงานร่วมกันมาเมื่อครั้งอดีต ด้วยใจถึงใจ ต่อกัน มีกิจกรรมใดๆที่เกี่ยวกับการสร้างความเข้าใจและความรู้สึกอันดีกับชุมชน เขาไม่เคยที่จะปฏิเสธในการเข้าไปมีส่วนร่วม แม้จะรู้ว่ามีอันตรายแฝงอยู่ในทุกย่างก้าว ...
""" เป็นกันเองกับผู้ใต้บังคับบัญชา """

... ผลจากการทำงานทุ่มเทมาตลอดชีวิตข้าราชการตำรวจ ทำให้ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ได้รับการยกย่อง และประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานต่างๆเป็นจำนวนมาก และ ที่สร้างความปลาบปลื้ม สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสูงสุดในชีวิต และครอบครัว คือ ได้รับการโปรดเกล้า ฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับพระราชทาน " เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญมาลาเข็มกล้ากลางสมร " ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง และกระทำพิธี " ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา " ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2525 ...
"""" ภาระกิจในพื้นที่ บันนังสตา ต้องรวมใจเป็นหนึ่งเดียว """

... และนับเป็น ตำรวจเพียงคนเดียว ในขณะมียศแค่ " จ่าสิบตำรวจ " ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ ...
... นอกจากนี้ พ.ต.อ.สมเพียร ยังได้รับพระราชทาน และประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานต่างๆอีกมากมาย เช่น ..
1.ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนชั้นสอง ประเภทหนึ่ง
2.ได้รับประกาศนียบัตร " ผู้มีผลงานสู้รบดีเด่น " จากกระทรวงมหาดไทย
3.ได้รับเข็มรักษาดินแดนสดุดี จากกระทรวงมหาดไทย
4.ได้รับมอบเกียรติบัตรผู้ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติด้วยความเสียสละ จากองค์การทหารผ่านศึก
5.ไดัรับประกาศผู้มีผลงานดีเด่นด้านการปราบปราม จากกองบัญชาการตำรวจภูธร 9
6.ได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์เก่า โรงเรียนตำรวจภูธร 9 ดีเด่น
7.ได้รับหนังสือสำคัญ จากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต ) ยกย่องเชิดชู เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติ บูรณภาพแห่งดินแดน และรักษาความสงบสุขของบ้านเมือง ด้วยความเข้มแข็งเสียสละ
8 .ฯลฯ ...
""" และล่าสุด หลังจากรับตำแหน่ง ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ตั้งแต่ปี 2550 เป็นตันมา พ.ต.อ.สมเพียร ได้นำกำลังเข้าปิดล้อม ตรวจค้น และได้มีการปะทะยิงต่อสู้กับแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบ (RKK) มาแล้วจำนวน 7 ครั้ง ทำให้คนร้ายเสียชีวิต จำนวน 17 คน สามารถยึดอาวุธสงครามและยุทธภัณฑ์ได้เป็นจำนวนมาก ทำให้เขาได้รับการยกย่องเป็น " ผู้นำหน่วยยอดเยี่ยม " จากศูนย์ปฏิบัติการตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า ( ศปก.ตร.สน ) ...

........... นี่คือเรื่องราวเพียงเศษเสี้ยวของชีวิต ตำรวจนายหนึ่ง ที่ทำงานทุ่มเท เพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชน เช่นเดียวกับตำรวจน้ำดีในพื้นที่อีกหลายคน พวกเขาเสมือนผู้ปิดทองหลังพระ ภายใต้เครื่องแบบสีกากี ที่เขาแสนภาคภูมิใจ แม้จะเหน็ดเหนื่อย ตรากตรำ และ เสี่ยงต่ออันตรายแค่ไหน แต่เขาไม่เคยย่อท้อ แม้อายุราชการ ของ พ.ต.อ.สมเพียร จะเหลืออีกไม่กี่ปี แต่เขายืนยัน ปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด สมดั่งปรัชญา " ตำรวจคือ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ " ...

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความลับของ Google ที่คุณต้องรู้

หลังจากที่ได้เริ่มมีการใช้ PageRank นี้ทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบอินเทอร์เน็ต สมการที่ใช้ในการคิดคำนวณหาค่า Page Rank ได้ถูกพัฒนาขึ้น อย่างไรก็ตามข้อมูลอื่นนอกเหนือไปจากนี้ไม่ได้รับการเปิดเผยออกมาอีกความลับทุกอย่างเกี่ยวกับหัวใจของการทำงานของ Google ไม่ได้รับการแพร่งพราย เหมือนกับที่บริษัท Coca Cola ไม่ยอมเปิดเผยสูตรน้ำอัดลม ออกมาให้บริษัทอื่นได้รับรู้
นอกจากนี้ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่เป็นเสมือนตัวกลางในการทำงานของ Google ได้แก่ การอัพเดต Google Index ประจำเดือนที่เรียกกันว่า Google-DanceŽ ซึ่งชื่อดังกล่าวมาจากในยุคหนึ่งที่หน้าเว็บไซต์ของ Google จะเกิดปัญหาขึ้นในช่วงของการอัพเดตหน้า Index ซึ่งเป็นผล ให้ผู้ใช้เกิดความสับสนเป็นเวลาหลายชั่วโมง อันดับของรายการที่ค้นพบมีการเปลี่ยนแปลงสลับกัน หรือผลการค้นหาที่ได้แตกต่างกันโดย สิ้นเชิงทั้งๆ ที่ใช้เวลาในการค้นหาต่างกันเพียง แค่ไม่กี่วินาที เหมือนกับว่าข้อมูลแต่ละตัวมีขาเต้นไปได้เรื่อยๆ ไม่อยู่กับที่
สาเหตุของความยุ่งเหยิงวุ่นวายนี้สามารถอธิบายได้ง่ายๆ คือ Google มีศูนย์กลางการควบคุมอยู่ทั้งหมด 10 แห่ง โดยแต่ละแห่งมี Index ที่ใช้ประจำที่อยู่ เมื่อGoogle ทำการค้นหาใดๆ ก็จะถูกแบ่งไปยังศูนย์กลางแต่ละแห่งตามแต่ความหนาแน่นของผู้ใช้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการค้นหาข้อมูลในระยะเวลาที่ห่างกันไม่ถึงนาที จะเกิดจากการทำงานของเซิร์ฟเวอร์คนละตัว ในช่วงเวลาของการอัพเดตข้อมูลของ Index ใหม่ที่จะถูกเปลี่ยนแปลงลงในเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวจะเกิดไม่พร้อมกัน จึงเป็นผลให้เกิดคามแตกต่างอย่างรุนแรงของรายการที่ค้นพบช่วงระยะเวลาหนึ่ง นั่นคือ Index "dance"
ในหน้าเว็บไซต์
http://googledance.seochat .com มีเครื่องมือที่สามารถแสดงผลการค้นหาจากเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวของ Google ได้ ซึ่งในช่วง Google-DanceŽโปรแกรมดังกล่าวจะแสดงให้เห็นว่ารายการที่ค้นพบของเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวแตกต่างกัน สำหรับผู้ที่อยากทดสอบการใช้งานเซิร์ฟเวอร์แต่ละตัวโดยเฉพาะก็สามารถเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง โดยคุณต้องป้อนชื่อเรียกให้ถูกต้อง เช่น www-fi.google.com หรือ www-va.google.com เป็นต้น

ระบบแห่งอนาคต: Google Lab
ผู้ใช้งานจะต้องเป็นผู้ร่วมกำหนดด้วยว่าฟังก์ชันใดบ้างที่ควรจะเป็นฟังก์ชันมาตรฐานของ Google ในอนาคต ปัจจุบันนี้ได้มีการทดลองใช้ฟังก์ชันหลายๆ ตัวที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาสำหรับอนาคตใน Goolge Lab และยิ่งกว่าไปนั้นยังมีการทดลองผ่านทางโทรศัพท์อีกด้วย


แผนกพัฒนาประสิทธิภาพในบริษัทหลายแห่งถือได้ว่าเป็นส่วนที่ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูง สำหรับ Google ก็เช่นเดียวกัน ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ จะถูกเก็บไว้เป็น ความลับ แต่อย่างไรก็ตาม Google ก็ยังเผยความ คืบหน้ามาให้เห็นได้ในหน้า Google-Labs (http://labs.google.com) ซึ่งวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Google จะแสดงแนวคิดออกมาให้คนทั่วไปได้รับ ทราบ และมีการทดสอบหรือทดลองแนวความคิดดังกล่าว

และที่หน้านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่ในการทดสอบเท่านั้นคุณยังสามารถที่จะได้ทดลองใช้งานฟังก์ชันใหม่ๆ ที่คิดค้นขึ้นมา และวิจารณ์ได้อีกด้วย เพื่อให้ทีมงานที่พัฒนาระบบจะได้ใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจว่าแนวความคิดดังกล่าวเหมาะที่จะนำมาใช้ใน Search Engine เพียงใด
สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งาน Google โดยใช้ชอร์ตคัตในการทำงานแทนการใช้เมาส์เหมือนดังเช่นปกติ สามารถดูข้อมูลดังกล่าวได้ในหน้าhttp://labs.google.com/keys หรือในทางตรงกันข้าม สำหรับพวกที่ขี้เกียจหรือต้องการความสะดวกสบายในการค้นหาก็สามารถใช้ Google Viewer ช่วยได้ (http://labs.google.com/gvie wer.html) โดย Google Viewer จะแสดงรายการหน้าเว็บไซต์ที่หาพบในรูปของสไลด์โชว์ แต่ฟังก์ชันดังกล่าวก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ถึงเรื่อง ความคุ้มค่าและผลประโยชน์โดยแท้จริง แต่หลายๆ คนในทีมงานของ Google Lab ยังให้ความเห็นว่า แม้ว่า Google จะถูกพัฒนาให้มีประโยชน์ สูงสุดเพียงใด แต่สำหรับผู้ใช้บางคนเพียงแค่ความสนุกสนานเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับก็นับได้ว่า คุ้มค่ากับการใช้งานแล้ว
Google-Glossar เป็นอีกฟังก์ชันหนึ่งที่ช่วยให้ การทำงานง่ายขึ้น (http://labs.google.com/glos sary) ซึ่งคุณสามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับความหมายของตัวย่อหรือคำจำกัดความต่างๆ ได้ เช่น ในการค้นหาคำว่า U.N.Ž แสดงให้คุณรู้ว่าเป็นตัว ย่อของ United Nations, เป็นองค์กรที่ถูกตั้งขึ้น เมื่อปี 1945 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสันติภาพ ความมั่นคงปลอดภัย และดำรงไว้ซึ่งสิทธิมนุษยชน

ไปด้วยกัน : Google รู้ว่าผู้ใช้ต้องการอะไร
ยอดเยี่ยมยิ่งไปกว่าฟังก์ชันอื่นๆ คงต้องเป็น Google Sets (http://labs.google.com/sets) ที่มีความสามารถในการรวบรวมข้อมูลโดยอัตโนมัติ เช่น หากคุณต้องการค้นหารายชื่อประธานาธิบดีของอเมริกาทั้งหมด สิ่งที่คุณต้องทำมีเพียง ใส่ชื่อของ George W. Bush หรือ Bill Clinton ลงไป แล้วคลิกที่ "Large Set" จากนั้นรายชื่อของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทั้งหมดในอดีตจนถึงปัจจุบันก็จะถูกแสดงออกมาให้คุณเห็น ซึ่งเมื่อคุณคลิกที่ชื่อแต่ละชื่อก็จะเป็นการค้นหาตามรายชื่อนั้นๆ อีกครั้งหนึ่ง ยิ่งคุณใส่ชื่อตั้งต้นไว้มาก เท่าใด (คุณสามารถใส่ได้มากที่สุด 5 ชื่อ) ผลการ ค้นหาที่ออกมาก็จะดีขึ้นเท่านั้น


นอกเหนือไปจากนั้น ยังมีฟังก์ชันน้องใหม่อีกสองตัวที่อยู่ในห้องทดลองของ Google อีกด้วยคือ "Google News Alert" และ "Google Search by Location" โดยGoogle News Alert มีความสามารถในการรวบรวมข่าวสารของ Google News ในอเมริกาและส่งไปยังอีเมล์ของผู้ที่สนใจ ต่อไป เพียงแค่คุณใส่ชื่อหัวข้อเรื่องที่คุณต้องการได้รับข่าวสารไว้ก่อนเท่านั้น (เช่น "Iraq")
สำหรับฟังก์ชัน Google Search by Location อาจจะไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้ทั่วไปเท่าใดนัก เพราะฟังก์ชันดังกล่าวเป็นการค้นหาคำจำกัดความต่างๆ ในระดับท้องถิ่น (Local Level) แต่ทำ ได้เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น Google ยังได้เตรียมฟังก์ชันใหม่ๆ เอาไว้อีกหลายอย่าง เช่น ความสามารถในการคำนวณค่าเงินตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา รายงานสภาพอากาศของท้องถิ่นต่างๆ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางและอื่นๆ อีกมาก โฆษกของทางบริษัทได้กล่าวถึงความตั้งใจทั่วไปว่า เราต้องการที่จะทำให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถได้รับข้อมูลตามที่ต้องการŽ ซึ่งการที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำเป็นที่จะต้องกลั่นกรองผลการค้นหาให้เรียบร้อยที่สุด และไม่ปล่อยให้มี สแปมหลุดรอดเข้ามาอยู่ในผลที่ค้นหาได้

โดย trmoorati

http://www.oknation.net