เรื่องน่าสนใจยุคใส่ใจสุขภาพ
ข้าวแพง ตักลดลงครึ่งทัพพี
ยุคเกษตรกรรมเริ่มส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรต่าง ๆ แพงขึ้น ทั้งนี้ผลิตผลเหล่านี้สามารถนำไปดัดแปลงเป็นพลังงานได้ นอกเหนือจากการรับประทาน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ปลูกอย่างไรก็จะไม่มีวันพอต่อความต้องการของประชากรโลก ในอนาคตอันใกล้นี้ คือ ข้าว ทั้งนี้เนื่องจากการลดพื้นที่การเพาะปลูกในหลายประเทศ การไม่เอื้ออำนวยของดินฟ้า อากาศ และน้ำ และสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ การมีประชากรที่เข้าถึงการบริโภคข้าวมีมากขึ้นในหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
แน่นอนที่สุดในอนาคตราคาข้างจะต้องสูงขึ้นจากเดิมอีกเท่าตัว จึงเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเพื่อให้คนไทยได้มีข้าวรับประทานกันอย่างทั่วถึง เช่น การที่รัฐบาลจัดขายข้าวถุงราคาถูกให้แก่ประชาชน ในช่วงปี พ.ศ. 2551 ราคาข้าวสูงขึ้นมาก การขายข้าวราคาแพงทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยนำกำไรส่วนใหญ่มาช่วยประชาชนรากหญ้า และมนุษย์เงินเดือนของรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจ น่าจะเป็นวิธีที่ดี โดยไม่ต้องไปยุ่งกับกลไกการค้าข้าวเลย ซึ่งจะทำให้คนไทยทุกคนรู้คุณค่าของข้าวทุกเม็ด เมื่อข้าวมีราคาแพงแต่ละครอบครัวควรหุงข้าวให้พอในแต่ละมื้อ การหุงข้าวให้มีปริมาณลดลงสัก 20-30 % ก็จะช่วยประหยัดข้าวส่วนที่ไม่ได้รับประทานในแต่ละมื้อได้ สำหรับข้าวในหม้อที่หุงแล้วเมื่อไม่ได้รับประทาน อยากให้ทุกบ้านตักใส่กล่องปิดฝาแล้วเก็บเข้าช่องแช่แข็งทันที อย่าทิ้งไว้ในหม้อหุงข้าว เพราะอากาศที่ร้อนของบ้านเราจะทำให้ข้าวเน่าเสียได้เร็ว ส่วนเรื่องการตักข้าวใส่จานเพื่อให้แต่ละคนในบ้านรับประทาน ถ้าตักให้ผู้ใหญ่ เดิมเคยตักข้าวประมาณ 2-3 ทัพพี ก็ให้ลดลงประมาณครึ่งทัพพี แล้วรับประทานผักหรือต้มจืดให้มากขึ้น จะทำให้อิ่มท้องเช่นเดิม และยังช่วยลดความอ้วนได้ด้วย สำหรับลูกที่ดูท้วม ๆ หรือเป็นโรคอ้วนแล้ว ก็ควรตักลดลง ½ - 1 ทัพพี แล้วทำกับข้าวที่เป็นของนึ่งหรืออบมากขึ้นก็จะช่วยลดน้ำหนักตัวของลูกได้เป็นอย่างดี
สำหรับแม่ค้าขายข้าวแกง ก่อนตักข้าวใส่จาน ควรถามลูกค้าก่อนว่าต้องการข้าวมากหรือน้อย เพราะมีลูกค้าจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้หญิงที่มักจะเหลือข้าวในจานเกือบครึ่งจากที่ตักมา จึงรู้สึกเสียดาย ถ้าแม่ค้าตักข้าวตามความต้องการของลูกค้าได้ จะทำให้เรามีข้าวเหลืออีกจำนวนมาก เพื่อส่งไปขายต่างประเทศ และนำเงินมาพัฒนาชุมชนต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง และการรับประทานโจ๊กหรือข้าวต้มเป็นมื้อเช้า ก๋วยเตี๋ยวน้ำเป็นมื้อกลางวัน เป็นประจำ นอกจากจะช่วยในเรื่องสุขภาพแล้วยังมีส่วนช่วยประเทศชาติด้วย เพราะว่าข้าวต้ม โจ๊ก หรือก๋วยเตี๋ยวก็ทำจากข้าวเช่นกัน แต่เป็นข้าวที่หักและเป็นเศษของเม็ดข้าวที่เกิดจากการสีข้าวให้ขาว โดยข้าวที่สีแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ ข้าวที่สีแล้วข้าวหักมาก ๆ กับข้าว 100% คือมีเม็ดขาวที่สีแล้วไม่หักเลยทั้ง 100%
การรับประทานอาหารเช้าในรูปของโจ๊กหรือข้าวต้ม และมื้อกลางวันเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำนั้น จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคอ้วน โดยปกติข้าวสวย 1 ทัพพีพูน ๆ จะให้พลังงานประมาณ 100 กิโลแคลอรี ซึ่งโดยปกติเรามักตักประมาณ 2 – 3 ทัพพี ข้าวสวย 1 จานจึงให้พลังงานประมาณ 200-300 กิโลแคลอรี ในขณะที่ข้าวต้ม 1 ถ้วยใหญ่จะมีเนื้อข้าวอยู่ 1 ทัพพี จึงให้พลังงานเพียง 100 กิโลแคลอรี และโจ๊ก 1 ถ้วยใหญ่จะมีเนื้อข้าวเพียง ½ ทัพพี จึงให้พลังงานเพียง 50 กิโลแคลอรี ดังนั้นการรับประทานข้าวต้มหรือโจ๊กในมื้อเช้า จึงช่วยลดการได้พลังงานจากข้าวได้ถึง 2-4 เท่า การรับประทานข้าวที่หัก ๆ เหล่านี้ ทำให้เรามีข้าวขาวที่เม็ดเต็ม ๆ เหลือส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ สำหรับมื้อกลางวัน การรับประทานก๋วยเตี๋ยวน้ำ จะทำให้อิ่มท้องโดยได้รับพลังงานเพียง 200 กิโลแคลอรี จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคอ้วนได้อีกทางหนึ่ง สำหรับมื้อเย็น ทุกคนคงอยากรับประทานข้าวสวยให้อิ่มท้อง หลายคนจึงมักตักข้าว 3 – 4 ทัพพี รับประทานพร้อมกับกับข้าวจนหมดจาน พลังงานที่ได้จากมื้อเย็นนี้ 1,000 – 1,200 กิโลแคลอรี ซึ่งจะทำให้เป็นโรคอ้วนได้ง่าย เราจึงควรรู้ว่ายิ่งมีข้าวมากเท่าใด ก็จะยิ่งรับประทานกับข้าวมากเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อให้เหมาะกับยุคปัจจุบันนี้ เราจึงควรตักข้าวลดลง ½ ทัพพี ในมื้อเย็น โดยมีกับข้าวทั้งเนื้อสัตว์ ผักต้ม นึ่ง หรือ อบ แล้วรับประทานให้อิ่มท้อง ก็จะเป็นอาหารบำรุงสุขภาพ และยังช่วยประเทศชาติประหยัดได้อีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น