นักธุรกิจในยุคนี้มีความเครียดมากกว่าในอดีตมาก เพราะทุกธุรกิจมีการแข่งขันกันมากและวงจรในแต่ละธุรกิจค่อนข้างสั้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว นักธุรกิจจึงต้องเกาะติดทุกสถานการณ์ของธุรกิจของตนเองอย่างใกล้ชิด การประชุมหรือการสัมมนาบ่อยจึงทำให้โอกาสที่จะได้พักผ่อนหรือได้พักสมองน้อยลง อาหารในแต่ละมื้อก็ไม่มีเวลาเลือกเพื่อคุณค่าของอาหาร แต่มักรับประทานอาหารเพราะปากท้องต้องการ สุดท้ายนักธุรกิจส่วนใหญ่ก็เป็นโรคที่เกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไป อาหารจึงมีส่วนสำคัญที่จะทำให้นักธุรกิจได้เห็นความสำเร็จของตนเองในบั้นปลายชีวิต แทนที่จะต้องเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อันเนื่องจากอาหารก่อนวัยอันควร
ความเครียดเป็นพื้นฐานของการทำงานทุกอย่าง โดยเฉพาะถ้าธุรกิจประสบปัญหาก็จะมีความเครียดเพิ่มขึ้น ซึ่งระดับความเครียดนี้แปรตามระดับปัญหาของธุรกิจ สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับความเครียดก็คือ โรคกระเพาะอาหารอักเสบ เพราะเมื่อมีความเครียด กระเพาะอาหารจะหลั่งกรดออกมามากกว่าปกติ บวกกับการรับประทานอาหารที่ไม่ตรงเวลา ก็ยิ่งทำให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบได้ง่าย ดังนั้นในช่วงที่มีความเครียดจึงควรระมัดระวังอาหารที่มีรสเผ็ด เปรียว หรือเครื่องดื่มจำพวกชา กาแฟ เหล้าและน้ำอัดลม เพราะอาหารเหล่านี้จะกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะซ้ำเติมกระเพาะอาหารให้อักเสบได้เร็วมากยิ่งขึ้น
ปัญหาที่พบได้บ่อยอีกปัญหาหนึ่งก็คือ โรคอ้วน หลายคนรู้ตัวว่าในแต่ละปีที่ผ่านไป น้ำหนักตัวขอตนเองค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจากช่วงที่ยังเป็นนักศึกษา กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคอ้วนก็ต่อเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคอ้วนแล้ว ขณะนี้โรคอ้วนน่าจะเป็นสาเหตุพื้นฐานของการเสียชีวิตของคนวัยทำงานในประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะโรคอ้วนทำให้เกิดโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไขข้อและโรคไต และเมื่อเป็นโรคอ้วนแล้วก็จะรักษาได้ยาก ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เป็นโรคอ้วน ตั้งแต่ต้น จึงน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด โดยเริ่มจากการชั่งน้ำหนักตัวของตนเองทุกสัปดาห์ สำหรับผู้ชายให้ลบความสูงของตนเองด้วย 100 นั่นคือน้ำหนักตัวที่ให้มากที่สุด ไม่ควรมากเกินไปกว่านี้ เช่น ถ้ามีความสูงที่ 170 เซนติเมตรก็ควรมีน้ำหนักตัวไม่เกิน 70 กิโลกรัม สำหรับผู้หญิงให้ลบความสูงของตนเองด้วย 105 นั่นคือ น้ำหนักตัวที่ให้มากที่สุด เช่น ความสูง 160 เซนติเมตรก็ควรมีน้ำหนักตัวไม่เกิน 55 กิโลกรม การชั่งน้ำหนักตัวเพื่อให้อยู่ในเกณฑ์นี้จะทำให้เราไม่มีปัญหาเรื่องโรคอ้วนในภายหลัง ส่วนกรณีที่เป็นโรคอ้วนไปแล้ว หลายคนอยากจะลดน้ำหนักด้วยตนเอง โดยการเร่งออกกำลังกายหรืองดอาหารบางมื้อ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ทรมานเกินไป ดังนั้นควรทำให้เหมือนกับการค่อย ๆ เกิดโรคอ้วน คือ ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า ซึ่งจะทำให้ไม่เหนื่อยเกินไป โดยการตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายใน 1 ปี จะลดน้ำหนักส่วนเกินให้หมด และควรรับประทานอาหาร 3 มื้อ ไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง ถ้าเป็นคนรับประทานมื้อเช้าน้อยอยู่แล้ว ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเดิมต้องรับประทานข้าว 1 จาน ก็ขอแนะนำให้เปลี่ยนเป็นโจ๊ก 1 ชามจะดีกว่า ส่วนมื้อกลางวันให้เปลี่ยนเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำทุกมื้อเลย ช่วงที่มีการประชุมมักจะมีกาแฟ หรือชา พร้อมขนมเสิร์ฟระหว่างประชุม ขอแนะนำให้ดื่มแต่ชาร้อนหรือกาแฟดำ โดยไม่เติมอะไรเลย และไม่รับประทานขนมที่ให้มาด้วย ฝึกให้เคยชิน สำหรับมื้อเย็นจะรับประทานข้าวร่วมกับกับข้าวอีก 2 – 3 อย่างก็ได้ แต่ควรจำกัดข้างลงมาเหลือ 1 ทัพพีก็พอ และก่อนนอนอาจจะดื่มจมขาดมันเนยอีก 1 แก้ว ร่วมกับผลไม้ 1 จาน ก็ช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงได้ในระยะยาว
อาชีพนักธุรกิจเป็นอาชีพที่มักจะไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงควรระวังอาหารที่มีผลทำให้เกิดโรคหัวใจได้ง่าย ได้แก่ ไข่แดง หนังสัตว์ เนยเทียม อาหารเค็มจัด และอาหารที่มีไขมันมาก นอกจากนี้ก็ไม่ควรรับประทานผลไม้มากเกินไป แม้ว่าผักและผลไม้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มอาหารสุขภาพ แต่ขณะนี้มีหลักฐานระบุว่าการรับประทานผลไม้มากเกินไป ก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ และประการสุดท้าย การรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดโรคหัวใจได้เช่นกัน จึงควรรับประทานอาหารทุกหมู่ในภาวะสมดุล ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เพื่อให้อาหารที่รับประทานเข้าไปถูกจัดสมดุล ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เพื่อให้อาหารที่รับประทานเข้าไปถูกจัดระเบียบอย่างเหมาะสม ก็ควรมีการออกกำลังกายทุกวัน อย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง ก็จะเป็นการรักษาสุขภาพที่ดีที่สุด ขอแนะนำการวิ่งหรือการเดินเร็ว ๆ จนบนลู่วิ่งหรือสวนสาธารณะรอบบ้านก็ได้ พลังงานไขมันคอเลสเตอรอล รวมทั้งเกลือแร่ส่วนเกินที่ได้รับจากอาหารจะค่อย ๆ ถูกกำจัดออกไปจากร่างกาย โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อพยายามดูแลสุขภาพของตนเองโดยการรับประทานตามที่กล่าวมา ข้างต้น ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็อย่าเพิ่มตายใจว่า ร่างกายจะสมบูรณ์โดยไม่มีความผิดปกติใด ๆ ขอแนะนำให้ตรวจร่างกายโดยการวัดความดันโลหิตและชีพจรอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ความดันโลหิตที่ปกติคือ 120 (ตัวบน) และ 80 (ตัวล่าง) มิลลิเมตรปรอท และชีพจรไม่ควรเกิน 72 ครั้งต่อนาทีในขณะพักผ่อน ทั้งนี้ถ้าความดันโลหิตและชีพจรมากกว่านี้จะทำให้หัวใจทำงานมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนล้าได้เร็ว รวมทั้งทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ นอกจากการตรวจร่างกายแล้ว อยากให้เจาะเลือดประจำปีคือ ปีละ 1 ครั้ง เพื่อไม่ให้ตกหล่น ขอให้เจาะเลือดตามนี้ คือ CBC, BUN, Creatinine, Total Cholesterol, LDL-cholesterol, HDL – cholesterol, Triglyceride, Fasting Blood Sugar และ Uric Acid เมื่อพบค่าใดที่ผิดปกติก็ควรรักษาทันที
การประสบผลสำเร็จในธุรกิจ ก็คือการได้อยู่เห็นความมั่นคงของธุรกิจที่ตนเองได้สร้างขึ้นมากับมือ จึงขอเน้นอีกครั้งกับท่านนักธุรกิจทั้งหลายให้ตั้งใจดูแลสุขภาพของตนเอง อย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจเลย เพราะการได้อยู่เห็นความสำเร็จของตนเอง นั่นคือคำตอบของความสำเร็จของชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น