วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 อาหารนานาชาติสุดพิสดาร

อาหารจานเด็ดที่นำมาให้ชมกันในวันนี้ อาจแลดูแปลกประหลาดในสายตานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่ถือเป็นอาหารรสเลิศและเมนูเด็ดห้ามพลาดที่คนในประเทศนั้นๆ ภูมิใจนำเสนอ

ชิราโกะ (Shirako) ประเทศญี่ปุ่น

"ชิราโกะ” คือ เมนูเด็ดของชาวญี่ปุ่น ที่นำ “ถุงหรือท่อเก็บน้ำอสุจิปลา” (ส่วนใหญ่จะนำมาจากปลาคอด, ปลาปักเป้า และปลาแองเกลอร์) ที่ภายในอัดแน่นไปด้วยสเปิร์ม มาเสิร์ฟให้ทานทั้งแบบปรุงสุกและแบบดิบๆ

หากปรุงสุก “ชิราโกะ” จะมีลักษณะข้นมันคล้ายครีมคัสตาร์ด แต่ถ้ารับประทานแบบดิบๆ ก็จะให้ความรู้สึกเหนียวนุ่มชุ่มน้ำมัน ประมาณว่าเคี้ยวแล้ว (น้ำ) มันหยดติ๋งเลยทีเดียว

ลูตเตฟิสค์ (Lutefisk) ประเทศนอร์เวย์

อาหารพื้นเมืองนอร์เวย์จานนี้ ทำมาจากปลาเนื้อขาว เช่น ปลาคอด (ทั้งชนิดตากแห้งและหมักเกลือ) แช่ “น้ำด่าง” หรือโซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซดาไฟ) ซึ่งเป็นสารที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการอุตสาหกรรมและการทำสบู่

วิธีทำก็คือ นำเนื้อปลามาแช่น้ำเย็นราว 5-6 วัน (เปลี่ยนน้ำทุกวัน) จากนั้นก็นำปลามาแช่ในน้ำเย็นผสมน้ำด่างทิ้งไว้อีก 2 วัน ขั้นตอนนี้จะทำให้โปรตีนในเนื้อปลาลดลง 50% และเนื้อปลาจะมีลักษณะคล้ายวุ้นหรือเจลลี่ แต่ยังไม่สามารถนำมารับประทานได้ ต้องนำมาแช่น้ำเย็น (เปลี่ยนน้ำทุกวัน) เป็นขั้นตอนสุดท้ายอีก 4-6 วัน จึงจะได้ “ลูตเตฟิสค์” ขาวใสที่มาพร้อมกลิ่นตลบอบอวล พร้อมทำไปประกอบอาหาร และทานเคียงคู่มันฝรั่งต้ม ฯลฯ

เคนคีย์ (Kenkey) ประเทศกานา

เคนคีย์ หรือโดโคนุ เป็นอาหารพื้นเมืองของประเทศกานา ที่มักถูกนำมารับประทานเคียงคู่สตูว์ เมนูปลา สัตว์ปีก และเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ตลอดจนอาหารรสชาติจัดจ้านอย่างน้ำพริกกานารสชาติสุดร้อนแรง

วิธีทำเคนคีย์ เริ่มต้นจากการนำเมล็ดข้าวโพดมาบดให้ละเอียด จากนั้นก็ผสมน้ำอุ่นแล้วหมักเอาไว้ประมาณ 3 วัน จากนั้นจึงนำแป้งหมักมานวดด้วยมือ เมื่อได้ที่แล้วก็แบ่งแป้งออกเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน ส่วนหนึ่งนำไปต้มในน้ำโดยเติมเกลือเล็กน้อย แล้วหมั่นคนอย่างต่อเนื่อง ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จากนั้นก็นำแป้งอีกส่วนหนึ่งมาผสมเข้าด้วยกัน เมื่อผสมแป้งทั้ง 2 ส่วนให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็นำเปลือกข้าวโพดหรือใบตอง (หรือฟอยด์) มาห่อแป้งดังกล่าว แล้วนำไปนึ่งประมาณ 1-3 ช.ม. จากนั้นก็นำไปเสิร์ฟที่อุณหภูมิห้อง (ปัจจุบัน มีแป้งเคนคีย์สำเร็จรูปวางจำหน่ายตามร้านขายของชำในแถบแอฟริกาแล้ว)

แอแร็ก (Airag) ประเทศมองโกเลีย

ภาชนะหนังบรรจุ “แอแร็ก” ความจุ 28 ลิตร ภายในเต็นท์จำหน่าย

หากใครไปเยือนมองโกเลียแล้วไม่ได้ลิ้มลอง “แอแร็ก” ก็เปรียบเสมือนไปไม่ถึงมองโกเลีย และเจ้า “แอแร็ก” ที่ว่านี้ก็คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้จากการหมัก “นมม้า” นั่นเอง

ระหว่างผลิต แบคทีเรียจะย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้มีภาวะเป็นกรดและมีรสเปรี้ยว ขณะที่ยีสต์จะเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายแอลกอฮอล์และคาร์บอนไดออกไซด์ (ฟอง) ทั้งนี้ผู้ผลิตจะต้องหมั่นคนนมม้า “แอแร็ก” วันละไม่ต่ำกว่า 1 พันครั้ง โดย “แอแร็ก” ที่พร้อมขายจะมีแอลกอฮอล์แรงกว่าเบียร์ แต่อ่อนกว่าไวน์

ตรึง วิท ลอน (Trứng Vịt Lộn) ประเทศเวียดนาม

“ตรึง วิท ลอน” หรือไข่ข้าวเวอร์ชั่นเวียดนาม เป็นอาหารที่คนไทยหลายท่านคุ้นตา หรืออาจเคยลิ้มลองมาแล้ว เพราะไม่เพียงเป็นเมนูเด็ดในประเทศฟิลิปปินส์และเวียดนามเท่านั้น หากยังมีขายในบ้านเราเช่นกัน

“ตรึง วิท ลอน” คือ ไข่เป็ดที่มีเชื้อผสมเรียบร้อยแล้ว และเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนภายในเปลือกไข่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่สามารถ ฟักเป็นตัวได้ ส่วนอายุของตัวอ่อนในไข่ที่นำมาใช้ประกอบอาหารขึ้นอยู่กับรสนิยมในแต่ละ ภูมิภาค เช่น ชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือจะชอบทานตัวอ่อนที่อายุมาก เพราะมีกระดูกอ่อนให้เคี้ยว กรุ๊บๆ

ส่วนวิธีรับประทานก็มีทั้งแบบที่นำไปต้ม แล้วแกะเปลือกด้านบนเพื่อซดน้ำที่อยู่รอบตัวอ่อน ก่อนที่จะปอกเปลือกออกทั้งหมด ขณะที่บางคนก็ปอกเปลือกแล้วเทน้ำและตัวอ่อนลงในชาม เพื่อทานแกล้มน้ำจิ้มและผักสด บางคนก็นำไปประกอบอาหารซึ่งมีให้เลือกรับประทานหลากหลายเมนูด้วยกัน

เนื้อคาปีบาร่า (Capybara) ประเทศบราซิล

ในขณะที่ประเทศเปรูและเอกวาดอร์นิยมนำหนู ตะเภามาเสิร์ฟเป็น “หนูหัน” ชาวบราซิลกลับเลือกนำญาติหนูตะเภาที่ตัวใหญ่กว่าอย่าง “คาปีบาร่า” มาทำเป็นเมนูเด็ด

คาปีบาร่า เป็นสัตว์ตระกูลหนูตัวใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวประมาณ 4 ฟุต และมีน้ำหนักมากกว่า 60 ก.ก. โดยชาวบราซิลจะนำเนื้อคาปีบาร่ามาหมักกับกระเทียมสับ หัวหอม พริกหวาน ใบกระวาน และน้ำส้มสายชู เป็นเวลาห้าชั่วโมง ก่อนที่จะนำไปประกอบอาหาร

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวบราซิล และบางส่วนในแถบอเมริกาใต้บริโภคเนื้อคาปีบาร่า เนื่องจากเป็นเนื้อสัตว์ที่สามารถทานได้ในวันศุกร์ช่วงฤดูถือบวชของชาว คริสต์ (ช่วง 40 วันก่อนวันอีสเตอร์ ชาวคาทอลิกจะงดรับประทานเนื้อสัตว์ทุกวันศุกร์)

**

แบล็ค พุดดิ้ง (Black Pudding) ประเทศอังกฤษ

แม้ชื่อจะเหมือนขนมแต่ “แบล็ค พุดดิ้ง” (หรือ “บลัด พุดดิ้ง”) ก็คือ ไส้กรอกที่ทำมาจากเลือด หมูหรือเลือดวัว (แต่ส่วนใหญ่มักทำมาจากเลือดหมู) ผสมเครื่องปรุงต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ ไขมัน ขนมปัง มันเทศ หัวหอม เกาลัด ข้าวบาร์เลย์ และข้าวโอ๊ต เป็นต้น

“แบล็ค พุดดิ้ง” สามารถทานได้ทั้งแบบดิบๆ หรือปรุงสุกด้วยการ ทอด ย่าง และต้ม สำหรับเมนูอาหารเช้าสไตล์อังกฤษแบบดั้งเดิม จะเสิร์ฟ “แบล็ค พุดดิ้ง” พร้อมถั่วอบ มะเขือเทศ เห็ด ไข่ และขนมปัง

โพชินทัง (Boshintang) เกาหลีเหนือและใต้

โพชินทัง หรือ “ซุปเนื้อหมา” เป็นอาหารขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของชาวเกาหลี ที่รับประทานสืบเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่น้องหมาที่เขานำมาทำซุปให้ทานไม่ได้เป็นหมาตาดำๆ ที่แอบสอยเอาตามข้างถนน (เหมือนในบางที่) หากเป็นน้องหมา “noranke” (แปลว่า สุนัขสีเหลือง) ที่เขาพัฒนาสายพันธุ์และเลี้ยงไว้เพื่อนำมาทำเป็นอาหารมนุษย์โดยเฉพาะ

ในการปรุงเมนูนี้ เขาจะนำเนื้อน้องหมามาต้ม แล้วใส่ ต้นหอม ผักชีล้อม ใบชิโสะ และเมล็ดชิโสะป่น เป็นต้น ถึงแม้จะมีกระแสกดดันจากสมาคมพิทักษ์สัตว์ในระดับนานาชาติ แต่มีรายงานว่า “โพชินทัง” ยังคงหาทานได้ตามร้านอาหารกว่า 6 พันแห่งทั่วเกาหลีใต้ (ส่วนเกาหลีเหนือไม่มีการรวบรวมตัวเลข)


มัคทัค (Muktuk) กรีนแลนด์

มัคทัค เป็นอาหารจานเด็ดที่ชาวกรีนแลนด์รับประทานกันมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง โดยชาวอินุตจะพายเรือคายัคออกไล่ล่าปลาวาฬตัวใหญ่ยักษ์กลางมหาสมุทร เพื่อแล่เนื้อเถือหนังมาทำเป็นอาหาร ซึ่งนอกจากปลาวาฬเบลูกา และปลาวาฬหัวบาตรแล้ว ในบางครั้งชาวอินุตยังออกล่า “นาร์ปลาวาฬ” (ฉายา ยูนิคอร์นแห่งท้องทะเล) มาทำเป็นอาหารในช่วงฤดูร้อนอีกด้วย

และเมนู “มัคทัค” ที่ว่านี้ก็คือ เนื้อติดหนังปลาวาฬ อันอุดมไปด้วยวิตาซี (มากถึง 38 ม.ก. ต่อ 100 กรัม) ที่ชาวกรีนแลนด์นิยมนำมารับประทานกันแบบดิบๆ แต่บางครั้งก็จะนำมาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วชุบเกร็ดขนมปังทอด ทานคู่กับซอสถั่วเหลือง หรือไม่ก็นำไปดองเก็บไว้

เนื้อติดหนังปลาวาฬ หรือ “มัคทัค” ประกอบด้วย ผิวหนังชั้นนอกที่มีลักษณะคล้ายยางและมีกลิ่นคล้ายเฮเซลนัท และชั้นเนื้อติดไขมันรสนุ่มชุ่มลิ้น โดยระหว่างผิวหนังชั้นนอกและชั้นในจะมีชั้นบางๆ ที่มีลักษณะแข็งคล้ายไม้ค็อกแทรกอยู่ ซึ่งเป็นส่วนที่เคี้ยวยากที่สุด

ทาโกส เดอ เซโซส (Tacos de Sesos) ประเทศเม็กซิโก

โบราณกล่าวว่า การสูญเสีย “สมอง” เป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด ชาวเม็กซิกันจึงภูมิใจนำเสนอเมนูเด็ด “ทาโกส เดอ เซโซส” ซึ่งก็คือ “สมองวัว” นั่นเอง

โลนลี แพลนเน็ต ระบุว่าเมนูนี้ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพเท่าไหร่นัก เนื่องจากมีคอเลสเตอรอลในปริมาณสูงมาก แถมตำราแพทย์ยังระบุว่าเชื้อโรควัวบ้ามีระยะเวลาในการฟักตัวนานถึง 50 ปี การรับประทานอาหารจานนี้จึงเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวหรือนักชิมต้องใช้ วิจารณญาณ และถ้าอยากลองก็ต้องรับความเสี่ยงกันเอาเอง

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

5 ขั้นตอนการดูแลเท้าให้สุขภาพดี

เท้าเป็นอวัยวะที่รับน้ำหนักของร่างกายและยังบอกถึงสุขภาพร่างกายองมนุษย์ได้ การดูแลเท้าให้สะอาดและผ่อนคลายเป็นสิ่งสำคัญซึ่งสามารถทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้

ขั้นตอนที่ 1 :

เทน้ำอุ่นลงในอ่างแช่เท้า หยดน้ำมันลาเวนเดอร์ลงไป 2 – 3 หยด หรือ

แอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ช้อนโต๊ะ หากคุณทาเล็กเท้าให้ล้างน้ำยาทาเล็บออก

ขั้นตอนที่ 2 :

แช่เท้าประมาณ 10 นาที เช็ดเท้าด้วยผ้าขนหนูสะอาด

ขั้นตอนที่ 3 :

ตัดเล็บเท้า แต่อย่าตัดจนสั้นเกินไป และตัดเล็บให้เรียบเสมอกัน

ขั้นตอนที่ 4 :

ทามอยส์เจอไรเซอร์ที่เท้าและเล็บ โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังรอบๆ เล็บเท้า

ขั้นตอนที่ 5 :

นวดให้ทั่วบริเวณเท้าประมาณ 5 – 10 นาที

ที่มา : http://tips4cute.blogspot.com/2010/10/5.html

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ก๋วยเตี๋ยวมาจากไหน

เป็นเรื่องที่น่าสนใจเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จะต้องมีเรื่องราวความเป็นอย่างแน่นอนที่สุด นั่นก็เนื่องจากว่าก๋วยเตี๋ยวไม่ใช่อาหารของคนไทยมาก่อน ไม่ใช่น้ำพริกกะปิ ไม่ใช่แกงส้มมะละกอกุ้ง ไม่ใช่แกงเลียง ไม่ใช่ต้มกะทิสายบัว อันเป็นอาหารดั้งเดิมเก่าแก่ของชาวบ้านคนไทยทั้งหลาย

ในสมัยก่อนนั้น ตั้งแต่ยุคสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กษัตริย์แห่งสยามประเทศผู้เปรื่องปราชญ์ในการเมือง ผู้ที่รงปรีชาสามารถในด้านการต่างประเทศ สามารถติดต่อกับต่างชาติได้มากมาก สร้างความเจริญให้กับสยามประเทศได้อย่างไม่น่าเชื่อ

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการฟื้นฟูให้ลพบุรีเป็นพระนครที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเคยยิ่งใหญ่มาแล้วในยุคสมัยก่อนที่เคยเป็นเมืองของพวกมอญมาช้านาน พระองค์จึงสร้างเมืองลพบุรีเป็นเมืองหลวงเมืองที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2208 แยกออกมาจากกรุงศรีอยุธยาที่อยู่ใกล้ทะเลเกินไปนั่นเอง เกิดกรณีพิพาทกับต่างชาติแล้วก็ทำให้ยกกองทัพเรือมาปิดปากอ่าวของไทยได้ง่าย ฮอลันดาเคยยกกองทัพเรือมาปิดล้อมปากอ่าวไทยครั้งหนึ่ง ในเรื่องความไม่พอใจในกิจการค้า เพราะไทยเราค้าขายได้กับหลายชาติอย่างกว้างขวางนั่นเอง

ชนชาติต่างๆ ที่ดำเนินการค้าร่วมกันนั้น มีชนชาวจีนรวมอยู่ด้วยแน่นอน ไม่ใช่มีเพียงฝรั่งมังค่าในยุโรปเท่านั้น มีการส่งราชทูตไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ฝรั่งเศสเพื่อสัมพันธไมตรี ทำให้ต่างชาติอื่นๆ มองเห็นว่าไทยเราก็มีสัมพันธมิตรอย่างฝรั่งเศสเพื่อสัมพันธมิตรอย่างฝรั่งเศสด้วย สร้างความน่าเกรงขามและความเกรงใจได้ เป็นกลวิธีที่เป็นยอดของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาก สิ่งนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าชื่นชม เมื่อชาวจีนเอาเรือสำเภาแล่นใบมาจากเมืองจีนอย่างนี้ นำสินค้าจากเมืองจีนมาด้วย เอามาแลก เอามาขาย ให้แก่คนไทยที่ลพบุรี สินค้าก็มีหลายอย่าง ทั้งแพรพรรณ ของกิน ของใช้ แล้วก็มีการเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวมาด้วยในเรือสำเภานี้เอง

คนจีนเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวมาปรุงเป็นอาหารกินกันอย่างธรรมดาแต่เมื่อคนไทยเห็นเข้าก็แปลกใจ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนนั่นเอง คนจีนนี่เองที่เอาเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่เรือสำเภามาจากเมืองจีน เอามาต้มเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำกันอย่างเอร็ดอร่อย เอาเส้นก๋วยเตี๋ยวมาต้มกับน้ำซุป ใส่หมู ใส่ผักบางอย่าง ซึ่งน่าจะยังไม่เหมือนกันอย่างในทุกวันนี้

ใส่ซีอิ้ว ใส่เกลือ ใส่เต้าหู้ยี้ ใส่ผักกาดดองแล้วเอามากินกันอย่างแปลกหูแปลกตาคนไทยในยุคสมัยนั้นอย่างที่สุดจริงๆ มีการเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวของคนจีนมาประกอบอาหารบริโภคกันบ้าง จึงสร้างความคุ้นเคยให้คนไทยเราในสมัยนั้นไปเรื่อยๆ แล้วคนจีนก็เอาแป้งข้างเจ้ามาทำเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวอีกในเวลาต่อมา เส้นก๋วยเตี๋ยวจึงแพร่หลายมาเรื่อยๆ จนกระทั่งกาลเวลาผ่านไป เมื่อใครเอ่ยถึงเส้นก๋วยเตี๋ยวขึ้นมาทุกคนก็จะรู้จักเป็นอย่างดี

http://noodle-dee.blogspot.com/2010/10/blog-post_14.html

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เลือกสไตล์ทรงผมให้รับกับรูปหน้า

การเลือกสไตล์ทรงผมให้เหมาะกับรูปทรงของใบหน้านั้น เป็นการเสริมบุคลิกภาพ ให้คุณดูดีขึ้น และที่น่าสนใจมากขึ้น

รูปหน้าเหลี่ยม

ควรไว้ผมยาวประบ่าและดัดให้เป็นลอนคลื่นเล็กน้อย หลีกเลี่ยงทรงผมบ๊อบหรือผมหน้าม้า

รูปหน้าไข่

คุณเกิดมาโชคดีที่มีหน้ารูปไข่ เพราะเป็นรูปหน้าที่เหมาะสมกับทุกสไตล์ทรงผมจึงเลือกได้ทุกสไตล์ที่ชอบ

รูปหน้าทรงกลม

เพื่อทำให้รูปหน้าดูเล็กลง ควรเลือกทรงผมที่ซอยไล่ระดับแก้มจนถึงต้นคอ หลีกเลี่ยงการทำผมหยิกดัด

รูปหน้าเรียวยาว

ควรเลือกทรงผมสั้น หน้าม้าหรือทรงบ๊อบ เพื่อให้ระดับใบหน้าสมดุลกัน ผมยาวตรงไม่เหมาะสมกับคนรูปหน้ายาว

ที่มา : http://tips4cute.blogspot.com/2010/10/blog-post_15.html

สร้างทัศนคติที่ดี

สร้างทัศนคติที่ดี

การดำรงชีวิตให้มีความสุข จงนำทัศนคติที่ดีมาใช้ในการดำเนินชีวิต อันจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเกิดความแตกต่างในชีวิตส่วนตัวและอาชีพการทำงาน ซึ่งความสำเร็จได้มาจากทักษะในชีวิตประจำวัน ผลที่ได้รับก็คือชีวิตมีความสุขและพรั่งพร้อมไปด้วยความรัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเราเองเป็นผู้กำหนดและทำตามทัศนคติที่เราตั้งไว้ ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ทัศนคติด้านความต้องการที่จะดำรงชิวิตให้สมบูรณ์แบบ เราจะค้นพบอำนาจอย่างหนึ่งที่มั่งคั่งในชีวิตและหน้าที่การงาน เช่นเดียวกับบทกวีของเฮนรี่ทีว่า ข้าพเจ้าเป็นนายแห่งชะตาชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นกัปตันแห่งวิญญาณของข้าพเจ้า เขาบอกให้เรารู้ว่าเราเป็นเจ้านายชะตาชีวิตของเราเองเพราะเราอยู่ด้วยในความควบคุมของทัศนคติของเรานั่นเอง

หลายต่อหลายคน ต่างบอกว่า ทัศนติเป็นได้ทั้งการสร้างสรรค์และทำลาย ซึ่งเราสามารถแปรความคิดเหล่านั้นโดยการมีทัศนคติที่ดี และเราต้องเป็นคนมีความเมตตา หากทำได้เราก็จะประสบความสำเร็จแต่หากเราประเมินค่าทัศนคติทีดีต่ำไป มองในแง่ลบหรือเราไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น ความสำเร็จก็จะไม่มีวันให้เราได้ชื่นชม

นี่คือส่วนหนึ่งของแบบทดสอบเกี่ยวกับทัศนคติของดัวท่านเองและบ่อยครั้ง ที่เราต้องเจอ และหากเป็นอย่างนั้นเรจะยอมรับหรือแก้ไขอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้น

ข้าพเจ้ามีทัศนคติอย่างไรกับตัวเอง

ข้าพเจ้ามีทัศนคติต่อเพื่อนร่วมงานอย่างไร

สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการมากที่สุดคืออะไร

โดยรวมแล้วบุคลิกของข้าพเจ้าเป็นอย่างไร

ข้าพเจ้าสนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษ

ข้าพเจ้ามีความถนัดหรือชอบในเรื่องใดเป็นพิเศษ

ข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือแนวไหนมากที่สุด เพราะอะไร

ข้าพเจ้าชอบดูหนัง ละครแนวไหนมากที่สุด เพราะอะไร

ข้าพเจ้าชอบฟังเพลงแนวไหนมากที่สุด เพราะอะไร

ข้าพเจ้าเป็นคนชอบทอล์กโชว์ ละครเวทีบ้างหรือเปล่า

ข้าพเจ้าชอบท่องเที่ยวประเภทไหน และที่เที่ยวที่ชอบเพราะอะไร

ข้าพเจ้าชอบทำงานอะไรมากที่สุด

ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นในรื่องลี้ลับหรือเปล่า

แบบทดสอบนี้คือสิ่งที่ต้องการรู้ว่าตัวตนของเราเป็นเชี่นไร เรามีทัศนคติอย่างไร และหากสิ่งที่เราเจอแล้วไม่มีในแบบทดสอบเราจะมีวิธีแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าอย่างไร

ก่อนอื่นเราต้องเป็นคนรอบคอบ มีความตั้งใจ และที่สำคัญเราจะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งรอบข้างแล้วความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินความตั้งใจ

ที่มา : http://goal-target.blogspot.com/2010/10/3.html

การจัดแต่งตู้ปลา

เมื่อได้ทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับตู้ปลาแล้ว ก็ถึงตอนที่จะจัดแจงแต่งตู้ปลาจริงๆ ก่อนที่จะนำปลามาเลี้ยงทั้งนี้พึงเข้าใจว่าเราจะเลี้ยงปลาตู้น้ำจืดให้ถูกต้องตามหลักวิชา หาใช่เลี้ยงอย่างส่งเดชไม่ การเลี้ยงอย่างส่งเดชก็คือมีตู้ มีน้ำ แล้วก็เอาปลามาใส่ ช้อนลูกน้ำให้ปลากิน เท่านั้นเอง ไม่ช้าก็เบื่อหรือไม่เกิดความเพลิดเพลินอย่างแท้จริง

ในการเลี้ยงอย่างถูกหลักวิชานั้นท่านจะต้องจัดแต่งตู้ปลาให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วจึงจะซื้อหาปลามา นี่เป็นขั้นตอนที่ท่านจะต้องปฏิบัติ การบรรยายกว้างๆ ตามแนวทางที่พึงเป็น แต่ในการจัดแต่งจริงท่านจะยักเยื้องอย่างไรก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ขอให้ปฏิบัติตามแนวการบรรยายก็แล้วกัน

ขั้นแรกท่านจะต้องยาตู้ปลาให้มั่นคง อย่าให้มีทางที่น้ำอาจซึมออกมาข้างนอกได้ ทำฝาครอบให้พอดีกับขนาดของตู้พร้อมด้วยหลอดไฟฟ้าที่บรรจุเพื่อให้แสงสว่างตามแนวทางที่บรรยายมาแล้ว

อุปกรณ์และเครื่องมือที่จะใช้ควรจัดหาให้พร้อม สำหรับเครื่องมือก็มีไขควงเล็กๆ คีม กรรไกรตัดโลหะ กากเพชรตัดแก้วค้อนเล็กๆ เครื่องมือเหล่านี้อาจนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด แต่ก็ควรจัดหาเตรียมไว้เผื่อใช้

ขั้นต่อไปต้องล้างกรวดที่จะดาดพื้นตู้เสียก่อน หินที่จะใช้ประดับตู้ควรเลือกให้ได้ขนาด ถ้าใหญ่เกินไป เราอาจใช้ค้อนแล่งให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ ถ้าต้องการให้มีโพลงมีหลืบก็ยาหินให้เป็นรูปตามต้องการเสียก่อน ส่วนพืชที่จะแต่งตู้จัดไว้เป็นพวกๆ โดยใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ที่เปียกชุ่มห่อคลุมไว้เพื่อไม่ให้เฉาเสียก่อนที่จะใช้

http://fishes-lover.blogspot.com/2010/10/blog-post_13.html

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โรคเบาหวาน (2)

โรคแทรกซ้อนเฉียบพลัน ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ขึ้นกับระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน และสามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตหากไม่ได้รับการแก้ไขแต่รักษาให้หายและป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ ภาวะแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลันแบ่งออกได้เป็น ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเฉียบพลัน

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1. ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและมีกรดคีโตนคั่ง (Diabetic ketoacidosis : DKA) เป็นภาวะฉุกเฉินที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวานที่เกิดจากการขาดอินซูลิน โดยอาจมีปัจจัยกระตุ้นจากการได้รับอินซูลินไม่เพียงพอ หรือขาดยา บางครั้งพบเป็นอาการแรกเริ่มของการเป็นเบาหวาน และพบได้ประปรายในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่รุนแรงกว่าขั้นแรกจะมีปัจจัยกระตุ้นจากภาวะเครียดจากการเจ็บป่วย ได้แก่ มีไข้ติดเชื้อ เมื่ออินซูลินไม่พอร่างกายจึงเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานเกิดการสร้างคีโตนซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดทำให้ร่างกายมีภาวะเป็นกรดในเลือดสูงขึ้น โดยปกติภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและมีกรดคีโตนคั่งนี้จะมีระดับน้ำตาลในเลือดเกิน 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตรเกลือแร่ไบคาร์บอเนตต่ำกรดในเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ปัสสาวะมาก หายในหอบลึก หากเป็นมากอาจไม่รู้ตัว หมดสติ และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

2. ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมากและโดยไม่มีกรีดคีโตนคั่ง(Hyperglycemic Hyperosmolar state : HHS) มักพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้ เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้ร่างกายยังพอสร้างอินซูลินได้ ทำให้เกิดการสลายไขมันจนเกิดภาวะกรดในเลือดสูง แต่ก็ไม่เพียงพอในการลดระดับน้ำตาล ทำให้ปัสสาวะบ่อย ทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงมากเกิน 600 มิลลิกรัม/เดซิลิตร มีอาการสับสน ซึมลง จนอาจไม่รู้สึกตัวและหมดสติได้เช่นเดียวกัน พบภาวะขาดน้ำอย่างมาก จนปากแห้ง ตาลึก ความดันอาจต่ำ ชีพจรเต้นเร็ว ควรได้รับการรักษาโดยด่วน

ปัจจัยก่อเหตุ

สาเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งหรือสาเหตุร่วมกันของปัจจัยดังกล่าวต่อไปนี้ อาจนำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลันได้

- คุมเบาหวานไม่ดี

- การได้รับยารักษาเบาหวานได้ขนาดที่น้อยไป ฉีดอินซูลินไม่สม่ำเสมอ หรือขาดยา

- ติดเชื้อ เป็นปัจจัยกระตุ้นที่พบได้บ่อย

- มีการเจ็บป่วยรุนแรง เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรือแตก เป็นต้น

- ร่างกายไม่สามารถตอบสนองได้อย่างหมาะสมต่อยารักษาเบาหวานที่ทานเข้าไป

- ทานอาหารจำพวกแป้งหรือน้ำตาลมากเกินไป

- มีความเครียดมาก

- ได้รับยาที่มีผลทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้น ลดการตอบสนองต่ออินซูลิน เช่า ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ

ป้องกันและแก้ไข

- รับประทานยา หรือฉีดอินซูลินตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด อย่าหยุดยาเองโดยเด็ดขาด

- ควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่องและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

- เมื่อมีอาการเตือน เช่น กระหายน้ำมาก ปัสสาวะมากผิดปกติ ควรดื่มน้ำเปล่ามากๆ และตรวจระดับน้ำตาลด้วยเครื่องตรวจน้ำตาลปลายนิ้ว เพื่อปรับระดับยาฉีดอินซูลินตามระดับน้ำตาลในเลือด

- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ

- ลดความเครียดลง ด้วยการทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ดูละคร ฟังเพลง นั่งสมาธิ ฯลฯ

- ใส่ใจและจัดการกับอาการป่วย หรืออาการติดเชื้อทันทีที่รู้สึกว่าเป็น ห้ามซื้อยาทานเองและต้องบอกแพทย์ว่าเป็นเบาหวาน

- ถ้ามีอาการกระตุกเฉพาะที่หรืออาการซึม และมีระดับน้ำตาลในเลือดมาก ควรพบแพทย์ทันที

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ(Hypoglycemia)

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (ต่ำกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร) เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการรับประทานอาหารกับระดับอินซูลิน หรือยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าระดับน้ำตาลลดต่ำมากอาจมีความรุนแรงถึงขั้นหมดสติหรือเสียชีวิตได้ เกิดได้ทั้งในผู้ป่วยเบาหวานใช้ยา ไม่ว่ายาเม็ด หรือยาฉีดอินซูลิน ทั้งใช้ยาผิด หรือขนาดยามากเกินไป หรือยาเท่าเดิมแต่อดอาหารผิดเวลาหรืออกกำลังกายมากเกินไปโดยไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า อาการน้ำตาลต่ำนี้อาจเป็นนานหลายวันขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่ใช้

อาการมีตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงหมดสติ หรือชัก ขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลที่ลดลงและอัตราความเร็วในการลดลง เริ่มต้นจะมีอาการใจสั่น ตัวเย็น หน้าซีด คล้ายจะเป็นลม ตามัว หิวมาก มือสั่น ปวดศีรษะ เหงื่อออก หงุดหงิด ปากชา สูญเสียสมาธิ สับสน ซึม ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอาจเป็นลมหมดสติหรือชักได้ ถ้าเป็นตอนกลางคืนขณะหลับอาจมีอาการฝันร้าย นอนกระสับกระส่าย ปวดศีรษะหรือมึนงงในตอนเช้า

วิธีป้องกัน

- ต้องรู้จักอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลต่ำ เพื่อระมัดระวังเตรียมตัวแก้ไข

- ทานอาหารให้เป็นเวลา ในปริมาณอาหารที่ใกล้เคียงกันทุกวัน

- ควรมีลูกอม น้ำตาลก้อน หรือน้ำผลไม้พกติดตัว

- ห้ามอดอาหาร โดยเฉพาะมื้อหลัก

- รองท้องด้วยของว่าง หรือดื่มนม ถ้าจำเป็นต้องเลื่อนเวลาอาหารออกไป

- ทานอาหารว่ารองท้องประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนออกกำลังกายที่หนักๆ หรือนานๆ

- ทานยา หรือฉีดอินซูลินตามแพทย์สั่ง ทั้งปริมาณยาและเวลา

- ปรึกษาแพทย์กรณีที่ต้องการทานยารักษาโรคอื่น ร่วมกัน

- ตรวจน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ

- ควรรีบบอกแพทย์ทันที เมื่อมีภาวะน้ำตาลต่ำ เพื่อให้แพทย์ปรับขนาดอินซูลิน

- ไม่ออกกำลังกายหักโหม อดนอน หรือทำงานหนักมากกว่าปกติ

การแก้ไขเบื้องต้น

- ถ้าอาการไม่มาก และเกิดขึ้นใกล้เวลาอาหาร รีบทานอาหารทันที หรือทานของว่าง เช่นขนมปัง นม ผลไม้รสหวานก่อน

- หากอาการค่อนข้างมาก แต่ยังรู้สึกตัว ควรทานอาหารจำพวกแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรตซึ่งดูดซึมเร็วปริมาณ 15 กรัม อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ เช่น ดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้ ประมาณ ½ - 1 แก้ว น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะละลายน้ำ 100 ซีซี ลูกอม 1-2 เม็ด หรือน้ำตาลประมาณ 2 ก้อน

- อาการควรจะดีขึ้นภายใน 5 – 10 นาที แล้วรีบรับประทานข้าว หรืออาหารประเภทแป้งทันที

- ถ้าหลังจากได้รับน้ำตาล 15 – 20 นาที ผ่านไปแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรตรวจน้ำตาลด้วยเครื่องตรวจน้ำตาลทันที ถ้ายังต่ำควรทานของหวานซ้ำอีกครั้ง

- ไม่ควรทานของหวานมากเกินกว่าที่แนะนำ เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลสูงมากไปและทำให้คุมได้ยาก น้ำหนักตัวลงยากด้วย

- แต่ถ้าไม่รู้สึกตัว หมดสติ ผู้ใกล้ชิดควรใส่น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ ใต้ลิ้น และรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที ห้ามให้ลูกอม หรือดื่มน้ำหวานเพราะทำให้สำลัก

- เมื่อเกิดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำขึ้นแล้ว อย่าวางใจว่าสามารถดูแลตัวเองได้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเพื่อปรับขนาดยา จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดอาการซ้ำๆ