วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

There is some good in the worst of us.

คนที่เลวที่สุดก็ต้องมีดีอยู่บ้าง

ไปบริจาคเลือดกันดีกว่า

คุณทราบหรือไม่ว่าเลือดที่เราบริจาคในแต่ละครับเพียง 8-10% ของปริมาณเลือดที่มีอยู่ในร่างกาย ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่มีอาการใด ๆ ต่อร่างกายทั้งสิ้นและร่ายกายจะสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทนอย่างรวดเร็ว ดังนั้นมาช่วยเพื่อนมนุษย์โดยการบริจาคเลือดกันดีกว่า


ผุ้ที่จะสามารถบริจาคโลหิตได้ตามมาตรฐานของสภากาชาดไทยต้องมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป อายุระหว่าง 17-60 ปี ถ้าเป็นผู้บริจาคครั้งแรกต้องไม่เกิน 55 ปี ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ไม่อยุ่ในระยะให้นมบุตร คลอดบุตร หรือแท้งบุตร ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา ไม่ท้องเสีย ท้องร่วงภายใน7วันที่ผ่านมา ฯลฯ ซึ่งจะมีการกรอกแบบสอบถามก่อนบริจาค ดังนั้นจึงควรตอบตามความเป็นจริงนะครับ

การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชัวโมงต่อเนื่อง ในเวลาปกติคือก่อนวันบริจาค
รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสุง และยาธาตุเหล็กเพิ่ม
รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะทให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้
ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่นน้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาหารแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศรีษะภายหลังบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค
งดสูบบุหรี่ ก่อนและหลังบริจากโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี


หลังบริจาคโลหิตควรปฏิบัติตังนี้
ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1-2 วัน
หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมาก ๆ งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนักเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังการบริจาค
ถ้ามีอาการเวียนศรีษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบนั่งก้มศรีษะต่ำระหว่างเข่า หรือนอนราบยกเท้าสูงจะกระทั่งมีอาการปกติจึงลุกขึ้น และเดินทางกลับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการล้ม
ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล อย่าตกใจ ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบนผ้าก๊อซ กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่รับบริจาคเพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล
ผุ้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่านที่สุง หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพัก 1 วัน
รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงและยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละอย่างน้อย 1 เม็ด จนหมดเพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

When in love everything is sweet.

เมื่ออยู่ในความรักทุกสิ่งก็ดูหวานไปหมด

โรคฉี่หนู (Leptospirosis)

อย่างที่รู้กันว่าช่วงฤดูฝน ปัญหาหนึ่งที่แก้กันไม่ตกก็เห็นจะเป็นบรรดาสัตว์ตัวเล็กที่ไม่พึงปรารถนา มักจะหนีฝนเข้ามาอาศัยในบ้านเรือน นอกจากจะสร้างความรำคาณแล้ว สัตว์พวกนี้ยังเป็นตัวนำโรคร้ายมาสู่คนที่คุณรักได้ โรคที่มาจากสัตว์จำพวกนี้มักจะพบบ่อยคือ "โรคฉี่หนู"

โรงนี้พบได้ทั้งจากคนและสัตว์ โดยในสัตว์ที่เป็นพาหะนั้นอยู่รอบตัวเราเอง มักพบในหนู วัว ควาย สุกร หมา แมว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวสำคัญที่พบบ่อยสุดคือ หนู นั้นเอง ซึ่งเป็นที่มาของ โรคฉีหนู เชื้อโรคนี้เป็นเชื้อแบคทีเรีย ชื่อว่า เลปโตสไปร่า แรกเริ่มนั้นหนูเป็นตัวแพร่ที่สำคัญ เพราะเชื้อจะอยู่ในไตของหนู ทุกครั้งที่สัตว์พวกนี้ฉี่ออกมาก ก็จะปล่อยเชื้อโรคออกมาด้วย และปนเปื้อนอยู่ตามพื้น หรือสิ่งของต่าง ๆ คนสามารถติดเชื้อจากการสัมผัสเชื้อที่อยู่ในที่ต่าง ๆ หรือในปัสสาวะของหนู หรือบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนฉี่ของหนู เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่มีบาดแผล รอยถลอก เยื่อบุต่าง ๆ และผิวหนังที่นุ่มจากการแข่น้ำนาน ๆ หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างการจะมีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 5-14 วัน เฉลี่ย 10 วัน

สำหรับอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ติดเชื้อโรคฉี่หนู มี 2 แบบ คือ แบบที่ไม่รุนแรงจะมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นอาการที่ไม่ต่างจากโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายชนิด แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เชื้อจะเข้าไปอยู่บริเวณที่ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกัน เช่น ลูกตา จะทำให้มีอาการตาอักเสบแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ หากเชื้อจะเข้าไปอยู่ในสมองจะทำให้มีเลือดออกในร่างการ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิต

เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมโรคฉี่หนู่ ควรหลีกเลี่ยงจากแหล่งสกปรก บริเวณที่เป็นแหล่งสะสม ของเชื้้อโรค และควรปฎิบัติตัวให้ถูกสุขลักษะดังนี้
1.หลีกเลี่ยงการแข่น้ำ ลุยน้ำหรือว่ายน้ำในขณะที่มีน้ำท่วมขัง ถ้าหากจำเป็น ต้องพยายามไม่ให้น้ำเข้าตา จมูก หรือปาก
2.หลีกเลี่ยงการเดินย่ำโคลน ดินชื้้นแฉะ ด้วยเท้าเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่่อมีบาทแผล รอยขีดข่วน ที่ขา และเท้า ควรสวมรองเท้ายางหุ้มข้อ เพื่อการป้องกันเชื้อโรค
3.ดูแลบ้านเรือนให้สะอาด ไม่ให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งหากินของหนู ซึ่งเป็นพาหะนำโรค
4.กำจัดขยะ ที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และที่อาศัยของหนู
5.ควรเก็บอาหารไว้ในที่มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้หนูถ่ายปัสสาวะรดอาหาร
6.อาหารที่ค้างมื้อ เมื่อนำมากินในมื้อต่อไป จะต้องนำมาอุ่นให้เดือดเสียก่อน เพื่อให้เชื้้อโรคที่อาจปะปนอยู่ในอาหารถูกทำลายโดยความร้อย
7.นำสัตว์ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคทุกปี
8.ควรปิดฝาโอ่งหรือภาชนะบรรจุน้ำ เพื่อป้องกันหนูมาถ่ายปัสสาวะลงไปในน้ำ
9.ภาชนะที่ใช้ใส่อาหาร ควรล้างทำความสะอาดก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันเชื้้อโรค
10.ล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหาร

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นแนวทางในการปฎิบัติเพื่อป้องกันให้พ้นจากโรคฉี่หนูและแมลงสาบให้หมดไปได้ รับรองว่าโรคร้ายจะไม่มาเยีอนคุณและสมาชิกในครอบครัวคุณอย่างแน่นอน

106 Magaxine
May 2009

Kindness is even nobler than revenge.

ความเมตตาธรรมนั้นย่อมสูงส่งกว่าความพยาบาทเป็นไหน ๆ

วันบริพัตร

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ สมเต็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนครสวรค์วรพินิต ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2447 ด้วยพระราชดำริว่า "เห็นควรว่าจะให้มีผู้บัญชาการจัดการปกครองกรมให้ลงระเบียบเรียบร้อยราชการทหารเรือจึงดำเนินไปได้ เหนว่าชายบริพัตรมีสติปัญญาและความเพียรมั่งคงอยู่ จึงตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกรมทหารเรือ"

จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 33 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ประสูติเมื่อวันพุธ เดือน 8 ขึ้น 3 ค่ำ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2424 ในพระบรมมหาราชวัง

พระองค์ทรงเข้ารับการศึกษาตามแบบอย่างของพระราชกุมาร พระราชกุมารี ในสมัยนั้นอย่างครบถ้วน หลังจากพิธีโสกันต์แล้วเมื่อปี พ.ศ.2437 เสด็จไปทรงศึกษาต่อในยุโรป โดยทรงศึกษาที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ หลังจากนั้นได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ โรงเรียนนายร้อยที่ปอร์ตสดัม ประเทศเยอรมนี ด้วยความมานะบากบั่น ทำให้พระองค์ทรงจบการศึกษาสอบเป็นนายทหารด้วยคะแนนดีมาก และทรงเข้ารับราชการในกองทัพบกเยอรมณี นับว่าพระองค์ได้สร้างเกียรติประวัติอันดีเด่นของนายทหารไทยไว้กับกองทัพบกเยอรมนีอย่างยากที่จะหาผู้ที่มาเทียบเคียงได้ หลังจากที่พระองค์ลาออกจากตำแหน่งนายทหารกองทัพบงเยอรมนี และเสด็จมาถึงประเทศไทย ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก จนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2447 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ

พระองค์ได้ทรงบุกเบิกและวางรากฐานความเจริญด้านต่าง ๆ ให้แก่กองทัพเรือเป็นอันมาก คุณูปการที่ทรงมีต่อกองทัพเรือที่สำคัญ ๆ อาทิ ทรงจัดระเบียบราชการในกองทัพเรือให้รัดกุม ทรงจัดทำข้อบังคับการทหารเรื่อว่าด้วยหน้าที่ราชการในเรือหลวง ทรงวางรากฐานการจัดระเบียบการเรียนการสอนในโรงเรียนนายเรือใหม่ ทรงขยายและปรับปรุ่งอู่หลวง ทรงวางรากฐานกองดุริยางค์ทหารเรือ ทรงจัดทำโครงสร้างกำลังทหารเรือ ทรงเสริมสร้างแสนยานุภาพของกองทัพเรือ โดยทรงสั่งซื้อเรือรบจากต่างประเทศเข้ามาประจำการเป็นจำนวนมาก อาทิ เรือพระที่นั่งมหาจักรี (ลำที่1) เรือพระที่นั่งเวสาตรี เรือพิทยัมรณยุทธ์ ตรงสนับสนุนการก่อตั้งราชนาวิกสภา ทรงกำหนดรูปแบบริ้วกระบวนเรือพระราชพิธี และการสร้างเรือพระราชพิธีใหม่ ทรงวางแบบแผนการยิงสลุต ทรงกำหนดเครื่องแต่งการทหารเรือ ทรงจัดให้มีพระธรรมนูญศาสทหารและกรมพระธรรมนูญทหารเรือ การปรับปรุงการสหโภชน์และก่อตั้งโรงเรียนสูทกรรม ทรงตั้งคลังแสงทหารเรือ ทรงตั้งคลังแสงทหารเรือ ทรงปรับปรุงการแพทย์ทหารเรือ ทรงทำการสำรวจและจัดทำแผนที่น่านน้ำสยามขึ้นใหม่ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น กรมอุทกศาสตร์

จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุทพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2447 สิริพระชนมายุได้ 63 พรรษา แม้ว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์มาเป็นเวลา 65 ปีแล้วก็ตาม แต่พระกรณียกิจของพระองค์เป็นคุณประโยชน์แก่กองทัพเรือ จึงได้กำหนดระเบียบปฎิบัติประจำให้มีการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน โดยกำหนดวันประสูติ ซึ่งตรงกับวันที่ 29 มิถุนายน ของทุกปี เป็น"วันบริพัตร" มีงานเพื่อน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่าน ณ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม อันเป็นสถานที่ประดิษฐานพระอนุสาวรีย์ของพระองค์ท่าน ในงานมีพิธีบวงสรวง พิธีวางพานพุ่มสักการะพระอนุสาวรีย์ พิธีสงฆ์ และยังมีการจัดนิทรรศการพระประวัติ พระกรณียกิจ ที่ทำให้กองทัพเรือมีความเจริยก้าวหน้าจนเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาจนถึงปัจจุบัน สมดังที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสชมเชยว่า "น้องชายบริพัตร ที่ได้เล่าเรียนศึกษามาในทางทหารบกโดยแท้ แต่ด้วยความจงรักภักดี ทูลกระหม่อม (รัชการที่5) รับสั่งให้ไปรับราชการทางทหารเรือก็ได้ไปทำการนั้น โดยเกือบจะเรียกว่าต้องฝึกนิสัยเพราะเป็นทหารบก แต่ที่แท้ฝืนได้ดีปานนี้ ทานทั้งหลายคงจะแลเห็นพยานปรากฎชัดเจนอยู่แล้วว่ากิจการทหารเรือได้ดำเนินขึ้นสู่ความเจริญปานใด"

เสียงจากทหารเรือ
กองปฏิตบัติการจิตวิทยา
กรมกิจการพลเรือนทหารเรือ
106 Magazine
may2009

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

If we don't go forword,we shall be backword.

ถ้าเราไม่เดินหน้า เราก็ต้องล้าหลัง

ไวรัสตัวจริง (real virus) ตัวแรกที่พบบนแพลตฟอร์ม Mac OS X

บริษัทแอนตี้ไวรัสประกาศว่าสามารถตรวจจับไวรัสที่มุ่งจู่โจมคอมพิวเตอร์แมคอินทอช ซึ่งทำงานด้วยระบบปฎิบัติการแมคโอเอสเอ็กซ์ (Mac OS X) ของแอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้แล้ว สร้างความฮือฮาเนื่องจากไวรัสดังกล่าวถือเป็นไวรัสตัวแรกที่มุ่งโจมตีแพลตฟอร์มการทำงานคอมพิวเตอร์แมคอินทอช ชี้ให้เห็นว่าความเสี่ยงต่อภัยคุกคามไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์อีกต่อไป

ไวรัสตัวแรกที่จ้องเล่นงานระบบปฏิบัติการแมคโอเอสเอ็กซ์ของแอปเปิลตัวนี้ถูกเรียกว่า OSX/Leap-A ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของบริษัทโซโฟส (Sophos) บริษัทแอนตี้ไวรัสชื่อดัง

โซโฟสระบุว่า ไวรัสดังกล่าวแพร่กระจายโดยอาศัยโปรแกรมไอแชท (iChat) โปรแกรมส่งข้อความสนทนาหรือไอเอ็ม (instant messaging) บนแมคโอเอสเท็น ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถทำงานร่วมกับโปรแกรมเอไอเอ็ม (AIM) โปรแกรมแชทยอดฮิตจากอเมริกาออนไลน์ (America Online)

ไวรัส Leap-A จะส่งต่อตัวเองออกไปในรูปของไฟล์ชื่อ latestpics.tgz โดยจะส่งให้กับรายชื่อคอนเทคที่อยู่ในรายการที่เก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสตัวนี้เข้าไป

ที่ผ่านมา โปรแกรมไวรัสเหล่านี้มักจะมุ่งโจมตีระบบปฏิบัติการที่มีการใช้งานแพร่หลายมากๆอย่างเช่นระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) หรือโปรแกรมอื่นๆของไมโครซอฟท์ (Microsoft Corp.) เนื่องจาก จำนวนการใช้งานวงกว้างจะสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้พัฒนาไวรัส เพราะช่วยเพิ่มโอกาสและช่องทางในการแพร่กระจายได้มาก ซึ่งการสำรวจพบว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์นั้นถูกใช้ในเครื่องพีซีมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลก

"ไวรัสระบบปฏิบัติการแมคโอเอสเอ็กซ์ตัวแรก เป็นตัวอย่างสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า ไวรัสและมัลแวร์ไม่พึงประสงค์ต่างๆเริ่มมุ่งไปที่ระบบปฏิบัติการรายอื่นแล้วในขณะนี้" วินเซ็นต์ วีเฟอร์ (Vincent Weafer) ประธานอาวุโสของบริษัทแอนตี้ไวรัสไซแมนเทค (Symantec) ให้ความเห็น

วีเฟอร์อธิบายว่า ไวรัส Leap-A ไม่สามารถจู่โจมคอมพิวเตอร์แมคอินทอชได้แบบอัตโนมัติ โดยจะต้องรอให้เจ้าของเครื่องคลิกรับไฟล์ที่ส่งมาก่อน จึงจะสามารถเข้าสู่คอมพิวเตอร์ดังกล่าว

ด้านเกรแฮม คลูลีย์ (Graham Cluley) ที่ปรึกษาอาวุโสด้านเทคโนโลยีของโซโฟส มองว่า Leap-A จะเป็นการยืนยันว่า ภัยคุกคามบน Mac OS X เป็นเรื่องจริง

"นี่คือไวรัสตัวจริง (real virus) ตัวแรกที่พบบนแพลตฟอร์ม Mac OS X ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แมคอินทอชบางรายเชื่อว่า ระบบปฏิบัติการแมคโอเอสเอ็กซ์ไม่มีทางที่จะติดไวรัสได้ แต่ Leap-A จะทำให้พวกเขาเห็นว่า แมคโอเอสเอ็กซ์ติดไวรัสได้จริงๆ”

ไซแมนเทคจัดอันดับความร้ายแรงให้ไวรัสแมคอินทอชตัวแรกนี้ที่เลเวล 1 (Level 1) ซึ่งเป็นอันดับร้ายแรงน้อยที่สุด จากทั้งหมด 5 เลเวล

ไวรัส Leap-A ได้เริ่มแพร่กระจายออกไปหลังจากที่สมาชิกในเว็บบอร์ดกลุ่มผู้ใช้แมคอินทอชหรือ Mac user forum ถูกหลอกให้คลิกไฟล์แฝงไวรัส ซึ่งมีการโพสต์หลอกลวงว่าเป็นลิงค์แสดงรูปหน้าจอ (screenshot) ของแมคโอเอสเอ็กซ์เวอร์ชันใหม่ Leopard Mac OS X 10.5 โดยยังไม่มีรายงานความเห็นใดๆจากตัวแทนของแอปเปิลคอมพิวเตอร์ในขณะนี้


ผู้จัดการออนไลน์

The lost time is lost forever.

เวลาที่เสียไปแล้วย่อมเสียตลอดกาล

ความแตกต่างระหว่าง http:// กับ https://

ข้อความรูเกี่ยวกับ http กับ https ที่เห็นกับบ่อยในอินเทอร์เน็ต แต่คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ถึงความแตกต่าง เวลาท่องเน็ตหรืออาจต้องทำธุรกรรมบางอย่าง เช่นซื้อของผ่ายบัตรเครดิตในอินเทอร์เน็ต แล้วต้องใส่รหัสบัตรเครดิต ต้องระวังมากๆ
สังเกตง่ายๆ ดูที่เว็บไซด์ที่ทำการกลอกข้อมูลส่วนตัวลงไปนั้นเป็น http:// หรือ https://

https:// ตัว s ที่ต่อท้ายมีความหมายว่า “Secure” ก็คือความปลอดภัยสำหรับการซื้อ การกรอกแบบฟอร์ม เช่นบัตรเครดิตในเว็บที่เป็น https://ถ้าจะกรอกข้อมูลส่วนตัวลงในเว็บที่เป็น http:// ก็ต้องระวังถูกแฮ็กข้อมูลครับ

Something is better than nothing.

มีบ้างดีว่าไม่มีเลย

โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ

โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเพราะระบบต่าง ๆ ในร่างกายผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงตามวัย การรับรู้รสและกลิ่นน้อยลง มีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน การดูดซึมอาหารไม่ดี มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องผูก ทำให้ความอย่ากอาหารลงลงและมีแนวโน้มที่จะขาดสารอาหาร

ผศ.นพ.รุ่งนิรันดร์ ประดิษฐสุวรรณ ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช เล่าว่า ความต้องการสารอาหารของผู้สูงอายุ เมื่อเทียบกับวัยหนุมสาวมีความต้องการโปรตีนในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน แต่ควรเป็นเนื้อสัตว์ที่ที่ย่อยง่าย เช่นปลา พยายามหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์เพราะย่อยยากและไขมันสูง ควรหลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์โดยใช้น้ำมันพืชแทน ซึ่งไม่ควรใช้น้ำมันปาล์มหรือน้ำมันมะพร้างเพราะไขมันสูง ส่วนอาหารจำพวกคาร์โบไฮรเดรตน้ำ เป็นสารอาหารที่ผู้สูงอายุควรลดประมาณลงโดยเฉพาะน้ำตาลและขนมหวานต่าง ๆ

ส่วนอาหารที่ให้สารอาหารจำพวกวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่งได้จากผักและผลไม้ต่าง ๆ ผู้สูงอายุควรรับประทานให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายและควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว โดยควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ในแต่ละวัน ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เช่น เค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด รวมทั้งกาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอร์

นอกจากนี้ผู้สูงอายุควรดื่มนมชนิดพร่องมันเนยวันละ 1 แล้ว เพื่อเพิ่มแคลเซี่ยมช่วยบำรุงกระดูก ถ้าดื่มนมไม่ได้ควรดื่มนมถั่งเหลืองแทน หรือรับประทานอาหารที่ให้แคลเซี่ยม เช่น เต้าหู้แข็งหรือปลาเล็ก ปลาน้อย ก้างปลากรอบก็ได้เช่นกัน ส่วนอาหารเสริมนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นของผู้สูงอายุ การรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอก็เพียงพอแล้ว

แม่บ้าน
ปีที่ 32 ฉบับที่ 470
ก.ค.51

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

If you don't make mistakes,you don't make anything.

ถ้าคุณไม่ทำอะไรผิด นั่นคือคุณไม่ได้ทำอะไรเลย

เลี้ยงลูกด้ายนมแม่

น้ำนมแม่ เป็นอาหารชนิดที่ดีที่สุดสำหรับลูกและมีสารอาหารครบถ้วย ช่วยกระตุ้นการเจริญเติมโตของสมองและอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งสารอาหารที่ได้รับจากนมแม่ หาไม่ได้ในนมชนิดอื่น ๆ เด็กที่กินนมแม่จึงเจริญเติบโตได้ดีทั้งร่ายกายและสมอง มีผลให้เชาว์ปัญญาดี นอกจากนี้นมแม่ยังมีคุณสมบัติพิเศษ มีสารที่เป็นภูมิต้านทานป้องกันโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น โรคหวัด ปอดอักเสบ โรคลำไส้อักเสบ ทารกจะได้รับภูมิคุ้นกันทันทีตั้งแต่การกลืนนมแม่มื้อแรกและในครั้งต่อ ๆ ไป

จากผลการวิจัยพบว่า ทารกที่ถูกเลี้ยงด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวจะต้องการน้ำนมเฉลี่ยวันละ 25 ออนซ์ (750 มิลลิลิตร) ในช่วงอายุ 1-6 เดือน ทารกแต่ละคนต้องการน้ำนมปริมาณไม่เท่ากัน แต่โดยทั่วไปแล้วจะอยู่ในช่วงระหว่าง 19-30 ออนซ์ต่อวัน(570-900 มิลลิลิตรต่อวัน) สมาคมกุมารเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา ยังออกมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการให้นมลูกด้วยว่า ทารกควรจะได้กินนมจากอกแม่จนกระทั่งถึงอายุครบ 1 ขวบ แต่ที่น่าสนในคือ มีคุณแม่เพียง 16 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สามารถทำได้ โดยสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพเศรฐกิจสังคม สิ่งแวดล้อมและความไม่เข้าใจของคนรอบข้าง ฯลฯ

ข้อมูลจาก
แม่บ้าน
ปีที32 ฉบับ 470
ก.ค.51

You can't please everyone.

คุณไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้

สุดยอดอาหารล้างพิษ

สาหร่าย
เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้าม คุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ
Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย

ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

หัวหอม
ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรค เบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

มะนาว
เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

เมล็ดแฟลกซ์
ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา
3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น

กระเจี๊ยบ
น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความ สะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้

ทับทิม
ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามรถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ ปวด ช่วยล้าง พิษลด การติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

พืชตระกูลถั่ว
(
เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

ขึ้นฉ่าย
ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความ สะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควัน บุหรี่ด้วย

แครอท
เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน (
Alpha and Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษใน สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจ และหัวใจแข็งแรงขึ้น

มะเขือพวง
คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าง แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

ส้มโอ หรือเกรปฟรุต
เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับ ความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อ ร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

กระเทียม
จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึง คุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

บลูเบอร์รี่
เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์ สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

กะหล่ำ
เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูล อิสระ (
Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

บีตรูต
ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผัก มหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล (
Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่าง ในเลือดให้สมดุลด้วย

อะโวคาโด
อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน(
Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( Universityof Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

ตำลึง
ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้ว หาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

แอปเปิล
ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

อัลมอนด์
เป็น ถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึง ควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย (
Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia ) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

กล้วย
มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรง แก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Every picture tells a story.

ภาพทุกภาพเล่าเรื่องราวได้

สับปะรด ผลไม้หลายตา รสชาติถูกใจ

สับปะรดมีชื่อเรียกหลายชือ ตามแต่ว่าจะเป็นภาคไหนเรียก อย่างเช่น ภาคใต้ก็จะเรียกว่า ขนุนทอง ยานัด ย่านนัด อันนี้ก็แยกแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น ส่วนถ้าเป็นภาคอีสานก็จะเรียกว่า บักนัด ซึ่งจริง ๆ แล้วคำว่า บัก ทางภาคอีสานจะใช้เป็นสรรพนามเรียกคุณสุภาพบุรุษ ดังนั้นสับปะรด น่าจะเป็นเพศผู้แน่นอน(ฮาาา) ส่วนภาคเหนือชื่อเรียกก็จะคล้าย ๆ กันคือ มะนัด

สับปะรดเป็นผลไม้ล้มลูกมีอายุหลายปี มีความสูง 90-100 ซม.มีลำต้นอยู่ใต้ดิน มีใบเรียงสลับซ้อนกันถี่มาก รอบ ๆ ต้น กว่าง 6.5 ซม. ยาวได้ถึง 1 เมตร ไม่มีก้านใบ ดอก ข่อ ออกจากกลางลำต้น มีคอกย่อยจำนวนมากผลเป็นผลรวม รูปทรงกระบอก มีใบเป็นกระจุกที่ปลายผล ส่วนสารอาหารที่สำคัญก็มีเกลือแร่ วิตามินต่าง ๆ และมีเอนไซม์ย่อยโปรตีนชื่อบรอมิลิน (Bromelin) ช่วยย่อยโปรตีนไม่ให้ตกค้างในลำไส้

ส่วนประโยชน์ของสับปะรดก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะมีมากมายหลายประการ หากท่านมีอาการต่อไปนี้สับปะรดช่วยได้หายห่วง ไม่ว่าจะเป็นหนอง ถ่่ายปัสสาวะไม่ออก ตัวร้อนกระสับกระส่าย การหายน้ำ มีอาการบวมน้ำ เป้นโรคบิด เป็นยาแก้ท้องผูก แก้โรคนิ่ว แถมยังช่วยย่อยอาหารอีกต่างหาก

นอกจากสับปะรดจะนิยมรับประทานเป็นผลไม้ล้างปากหลังอาหารแล้ว ปัจจุบันก็มีผู้นำสับปะรดมาดัดแปลงเป็นอาหารคาวหวานมากมายหลายเมนู ซึ่งก็เป็นที่เอร็ดอร่อยถูกใจคนชิมและคนกินยิ่งนัก

Fruits Super Food
kitty Cat
แม่บ้าน
ปีที่ 32 ฉบับที่ 470
มิ.ย.51

Every man his has price.

คนทุกคนมีค่า

บุหรี่คร่าชีวิตหญิงไทย

ผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีโอกาสเกิดโรคร้ายต่าง ๆ ได้แก่ มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหัวใจวาย เส้นเลือดในสมองตีบ โดยผู้หญิงที่สูบบุหรีมีโอกาสเสียชีวิตในวัยกลางคนถึงร้อยละ 50 และมีอายุสั้นลงถึง 10 ปี

รส.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ สาขาวิชาโรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤติ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า ในอนาคตผู้หญิงไทยมีแนวโน้มจะสูบบุหรี่มากขึ้น เนื่องจากบริษัทบุหรี่พยายามที่จะให้กลยุทธ์ในการเพิ่มปริมาณการสูบบุหรีในเพศหญิง นอกจากนี้ผู้หญิงยังมีโอกาศได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่มือสอง โดยเฉพาะจากที่บ้านในครอบครัวที่มีสมาชิกอื่นที่สูปบุหรี จากที่ทำงานหรือในสิ่งแวดล้อมโดยทั่วไปโดยผู้ที่สูบบุหรี่จะมีผลต่อสูขภาพของผู้หญิงและยังมีผลโดยตรงต่อทารกในครรภ์

การสูบบุหรี่จะทำให้ผู้หญิงแก่ก่อนวัย โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและใบหน้ามีรอยย่นมากขึ้น ริมผีปากคล้ำ มีปัญหาโรคช่องปาก และเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ

ผลเสียของการสูบบุหรี่ในผู้หญิง การสูบบุหรี่มีแต่โรครุมเร้าทั้งอวัยวะภายนอกและภายในแก่ก่อนวัยถึง 10 ปี โดยพบว่ามีปัจัยเสี่ยงต่าง ๆ ดังนี้ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดถึง 10 เท่า เสี่ยงกับอาการหัวใจล้มเหลวถึง 2-6 เท่า เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกกว่า 4 เท่า เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมร้อยละ 25 เสี่ยงเป็นโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่า อาจเกิดอาการหัวใจวายกะทันหันถึง 20 เท่า รวมถึงผู้หญิงที่สูบบุหรี่และรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ มีโอกาสเกิดอาการเส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันหรือหัวใจวานสูงถึง 39 เท่า และมีอัตราการตายสูงกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ที่กินยาคุมกำเนิดถึง 3 เท่า

รู้ไว้ปลอดภัยกว่า
พัชริดาพบหมอ
แม่บ้าน
ปีที่32 ฉบับที่ 470
ก.ค.51

Better know nothing than half-know many things.

การไม่รู้อะไรเลย ดีกว่าการรู้หลายสิ่งหลายอย่างแต่เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ

น้ำมันมะพร้าว ไม่ไร้ประโยชน์

ข้อเท็จจริงที่โลกต้องตลึง มะพร้าวเป็นพืชใบเลียงเดี่ยว อยู่ในตระกูลปาล์ม ทุกส่วนของมะพร้าวไม่ว่าจะเป็นรา ลำต้น ใบ ดอก ยอด และผล บรรพบุรษของเราได้นำมาใช้ประโยชน์ทุกส่วน ทั้งนำมาทำเป็นที่อยู่อาศัย ทำเครื่องนุ่งห่ม ทำยารักษาโรค และนำมาทำเป็นอาหาร ซึ่งที่เห็น ๆ กันทั่ว ๆ ไป ก็เจ้ากะทิหรือน้ำมันมะพร้าว ที่เรากลัวกันนักหนาและกลัวจนฝังใจว่รับประทานเข้าไปมากจะทำให้อ้วน และไขมันจะอุดตันในเส้นเลือดจนหัวใจขาดเลือด ถ้าหากรักษาไม่ทันอาจถึงตายได้ เพราะกะทิหรือน้ำมันมะพร้าวมีคอเลสเตอรอลในปริมาณที่สูง

กะทิหรือน้ำมันมะพร้าว เป็นอาหารที่ให้สารอาหารประเภทไขมันอิ่มตัว(Saturated Fat) ดังนั้นด้ายสาเหตุจากการกลัวจึงทำให้รับประทานแต่น้อยหรืองดไปเลย แล้วหันไปรับปาะทานน้ำมันพื่ชชนิดอื่นแทน เช่น น้ำมันพืชจากถั่งเหลือง ดอกคำฝอย ตอกทานตะวัน หรือน้ำมันข้าวโพด เพราะให้สารแาหารประเภทไขมันไม่อิ่มตัว (Unsatured Fat)

แต่ปัจจุบันพบว่า กะทิหรือน้ำมันมะพร้าว มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายและความงามอีกด้วย เช่น ช่ายในเรื่องของการลดคอเลสเตอรอลชนิดอันตราย(LDL) และเพื่อมคอเลสเตอรอลชนิดดี(HDL) ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ยีส โปรตัวซัว และไวรัส ช่วยลดน้ำหนัก ช่วยรักษาผิวไม่ให้กร้านแดด และรักษาผิวที่เหี่ยวย่น เป็นต้น

เรื่องน่ารู้
อ.สุวรรณา ชัยชนะ
แม่บ้าน
ปีที่33 ฉบับที่ 474
พ.ย.51

Write it on your heart that every day is the best of the year.

จงเขียนในหัวใจของคุณว่าทุกวันเป็นวันที่ดีที่สุดของปี

เมลามีน กินไม่ได้..แต่ใส่อาหารได้

เมลามีน เราทุกคนคุ้นเคยกันดี เพราะคนส่วนใหญ่คงเคยใช้ภาชนะพลาสติดที่ทำจากเมลามีนใส่อาหารทั้งที่บ้าน ตามสถานที่ทำงานและใช้กันโดยทั่วไป ลักษณะของเมลามีนเป็นผลสีขาว ไม่ค่อยละลายน้ำ เวลาผสมน้ำจะเป็นสีขาวขุ่นคล้ายนมสด ถ้าว่ากันตามหลักวิชาเคมี "เมลามี"(Melamine) จัดเป็นสารอินทรีย์มีองค์ประกอบคือ ธาตุคาร์บอน(C) ไฮโดรเจน(H) และ ไนโตรเจน(N) ซึ่งมีอยู่สูงถึงร้อยละ 67 ของน้ำหนักทั้งหมด โดยไนโตรเจนนี่แหละเป็นตัวสำคัญเกี่ยวข้องกับปัญหานมผงที่เกิดขึ้น

เมลามีน เมื่อรวมตัวกับสารฟอร์มาลดีโฮด์เป็นพอลิเมอร์ เรียกว่าเมลามีนเรซิน สามารถนำไปผลิตเป็นข้าวของเครื่องใช้หลากหลายชนิด ตั่งแต่พลาสติก จานชามเมลามีน ถุงพลาสติก พลาสติดสำหรับห่ออาหาร นอกจากนี้เมลามีนยังอยู่ในอุตสาหกรรมเม็ดสีเป็นหมึกพิมพ์สีเหลือง นำไปทำน้ำยาดับเพลิงคุณภาพดี น้ำยาทำความสะอาด และปุ๋ย

ความเป็นพิษของเมลามีนเกิดขึ้นได้แม้ยังไม่ได้กินเข้าไป กล่าวคือจะเกิดการระคายเคืองเมื่อสูดดม ถ้าสัมผัสถูกผิวหนังอาจเกิดการอักเสบ เมื่อกินเข้าไปจะสะสมเพราะร่างกายไม่สามารถย่อยสารเมลามีได้ และพยายามขับออกทางระบบปัสสาวะ กลายเป็นนิ่วในท่อปัสสาวะและไต ทำให้เกิดไตวายหรือเกิดมะเร็งที่ท่อปัสสาวะ กลายเป็นนิ่วในท่อปัสสาวะและไต ทำให้เกิดไตวายหรือเกิดมะเร็งที่ท่อปัสสวะได้

การใช้ประโยชน์จากเมลามีน หากใช้ให้ถูกต้อง เมลามีก็จะมีประโยชน์ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับอาหาร โดยทั่วไปเราจะนำเมลามีนเป็นพลาสติกที่ทนความร้อง จึงมีที้งจานชาม สารพัดขนาด ถ้วยกาแฟ ช้อนส้อม เป็นต้น ภาชนะเหล่านี้เป็นทีนิยม เพราะมักมีสีสันลวดลายน่ารักสวยงาม น้ำหนักเบา ไม่ต้องระวังรักษามากเท่าภาชนะที่ทำจากกระเบื้องหรือแก้ว

คุณใช้ภาชนะเมลามีนอย่างถูกวิธีหรือเปล่า กระทรวงสาธารณสุขมีคำเตือนถึงอันตรายของการใชภาชนะเมลามีใสอาหารทีร้อนจัด อาหารที่เป็นกรด และการนำไปช้กับเตาไมโครเวฟ เพราะจะทำให้สารฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้ การใช้ภาชนะเมลามีให้ปลอดภัย อุณหภูมิที่ใช้ไม่ควรเกินระดับประมาณ 60 เงศาเซลเซียส เพราะสารฟอร์มาลดีไฮด์จะแพร่กระจายออกมาไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/ลิตร แต่หากจะใช้งานที่อุณหภูมิ 60-69 องศาเซลเซียส ต้องระมัดระวังไม่ควรคงอุณหภูมิสูงไว้นาน และเมื่อใช้เตาไมโครเวฟควรใช้ระยะเวลาไม่เกิน 2 นาที ระดับกำลังไฟฟ้า 900 วัตต์ ดังนี้นจึงไม่ควรนำมาใช้กับเตาไมโครเวฟ หรืออาหารที่มีอุณหภูมิเกิน 100 องศาเซลเซียส เช่น น้ำเดือดจัด ของทอดร้อน ๆ จากกระทะก็ไม่ควรนำมาใส่ภาชนะเมลามีนโดยตรง


อาหารเพื่่อสุขภาพ
ดร.อาณดี นิติธรรมยง
สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล
แม่บ้าน
ปีที่ 33 ฉบับที่ 474
พฤาจิกายน51

Dead men tell no lies.

คนตายไปแล้วย่อมไม่โกหก

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ดูแลตัวเองกันดีกว่า

ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ ควรกินเวลา7.00 น. - 9.00 น. เนื่องจากกระเพาะเรามีสภาพเป็นกรดสูงมากที่สุด ดังนั้นมื้อเช้าจะจำเป็นมากๆ ถ้าอดมื้อเช้าไปนานๆ ขั้วกระเพาะเราจะเป็นปุ่มปม และนานเข้าๆ ก็กลายเป็นมะเร็งในกระเพาะ

อย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้วนะ น้ำสะอาดจะช่วยล้างของเสียออกจากร่างกาย อย่าขี้เกียจลุกไปห้องน้ำเด็ดขาด

ห้ามอดหลับอดนอนตั้งแต่ ตีหนึ่ง เด็ดขาด เนื่องจากถุงน้ำดีกำลังย่อยไขมัน ถ้าอดนอนเวลานี้บ่อยๆ จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี

ห้ามกินนมตอนเช้าแทนข้าวเช้า เนื่องจากตอนเช้ากระเพาะเป็นกรดสูงมาก นึกสภาพดูหากเราบีบน้ำมะนาวลงในนมจะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี กลายเป็นคอลลอยด์ มันไม่ย่อยนะจ๊ะ ถ้าดื่มนมตอนท้องว่างแบบนี้ติดต่อกันเป็นประจำแทนข้าวเช้า ระวังมะเร็งในไขกระดูกนะจ๊ะ แต่ถ้าเป็นช่วงหลังอาหารเช้า หรือตอนบ่ายไปแล้ว หรือตอนเย็น ดื่มได้ตามปกติจ้า มื้อเย็นอาจเป็นมื้อง่ายๆ อย่างนมกับ ไข่ ก็ไม่ว่ากัน

ถั่วต่างๆ รวมทั้งธัญพืชสารพัดอย่าง เช่น ลูกเดือย , ข้าวฟ่าง ฯลฯ มีประโยชน์ต่อลำไส้ คือ ช่วยกวาดเชื้อโรค + แบคทีเรียชนิดไม่ดีออกจากลำไส้เรา ควรกินอาทิตย์ละครั้งเป็นอย่างน้อย

พืชผักสีเขียวมีคลอโรฟิว ช่วยทำให้เม็ดเลือดลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดี เซลล์แต่ละเซลล์จะแข็งแรงเมื่อมีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง ก่อนเอาผักมากินเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษ อย่าลืม แช่น้ำ ส้ม สายชู 45 นาทีนะ

ขอให้ถนอมสุขภาพร่างกายของเราให้ดีกันทุกคนนะ

ศูนย์สุขภาพ
Diet@home

โรคภูมิแพ้

ภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ ทำให้เกิดอาการเมื่อสัมผัสหรือสูดดมสารก่อภูมิแพ้ โดยมีปัจจัยส่งเสริม คือ สภาวะแวดล้อม โดยเฉพาะสภาวะพิษทางอากาศที่นับวันจะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ จากสถิติพบว่า เด็กไทยที่อาศัญอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครฯมีอาการเจ็บป่วยจากโรคภูมิแพ้เป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี

โรคภูมิแพ้นอกจาจะทำให้เกิดอาการผิดปกติแล้ว ยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาอีก เช่น ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก หอบหืด หลอดลมอักเสบเรื่้อรัง ทองซินอักเสบเรื้อรัง หรือทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพการนอน หัวใจ และสมอง ดังนั้นจึงไม่ควรปล่อยให้มีอาการภูมิแพ้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการรักษา เพราะอาจทไให้เกิดโรคอื่นแทรกซ้อนได้

การรักษา โรคภูมิแพ้ที่ดีที่สุดยังมุ่งเน้นไปที่การป้องกันด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง หรือหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และมลภาวะต่าง ๆ แต่หายังคงมีอาการอยู่ แพทย์จะพิจารณาใช้ยาแก้แพ้ สเตอรอยด์พ่นจมูก หรือฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวให้ดีขึ้น


พญ.วิลาวัณย์ เวทไว
โรงพยาบาลพระรามเก้า

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เรื่องของกาแฟที่คุณอาจยังไม่รู้

การดื่มเครื่องดื่มประเภทกาแฟ ชา น้ำอัดลม หรือโกโก้ต่างมีสาร "คาเฟอีน"ซึ่งจะมีปริมาณมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับเครื่องดื่มแต่ละชนิด แต่เพื่อสุขภาพของคนชอบเครื่องดื่มที่มีรสชาติและสีสันพิเศษเหล่านี้ เราได้รวบรวมเรื่องราวของกาแฟที่คุณอาจจะยังไม่รู้ที้ง 2 ด้านมาฝากกัน

ด้านดี ๆ ที่คุณต้องรู้
-"คาเฟอีน"เป็นสารกระตุ้นประสาท ดังนั้นผู้ที่ดื่มก็จะมีความรู้สึกตื่นตัว ไม่ค่อยง่วง คนที่ต้องทำงานดึก ๆ หรือดูหนังสือดึก ๆ ก็อาจจะใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มความทนทานในการอยูุ่ดึก
-ในชา โดยทั่วไปจะมีสาร anti-oxidant ซึ่งพบว่าสามารถช่วยป้องกันเซลล์เนื้อเยื่่อของร่างกายให้มีโอกาสเกิดมะเร็งน้อยลง ในกาแฟเองก็มีเช่นกันแม้ว่าจะไม่มากก็ตาม
-โรงสมองเสื่อม พาร์กินสัน (Parkinson's disease) มีการศึกษาหลายชิ้นทำในผู้ชายสูงอายุส่วนใหญ่ พบว่ากาแฟลดความเสี่ยงในการเกิดโรงสมองเสื่อมชนิดนี้ได้ แต่ก็มีชิ้นหนึ่งที่ทำในหญิงพบว่า หากดื่มกาแฟ 1-3 ถ้วย สามารถลดอุบัติการณ์ในการเกิดได้ 50 เปอร์เซนต์ โดยที่หากดื่มมากกว่านี้ไม่ได้ประโยชน์เพิ่มเติม
-การดื่มกาแฟในปริมาณไม่มาก(ไม่เกิน 2 ถ้วยต่อวัน ประมาณ 100-200 มิลลิกรัม) ไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะกระดูกบาง ถ้าดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1 แก้ว โดยเฉพาะผู้หญิงที่ดื่อมการแฟควรได้ปริมาณของแคลเซียมอย่างเพียงพอ (1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน)
-สมาคมมะเร็งแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาสรุปว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน ไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งแต่อย่างใด

ข้อควรระวังที่ต้องจำไว้
-หากเป็นคนนอนไม่ค่อยหลับ คาเฟอีนจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เรามีปัญหาเรื่องการนอนมากขึ้น
-การดึ่มกาแฟเพียงแก้วเดียวก็อาจจะเกิดอาการใจเต้นเร็วหรือในสั่นได้ เนื่องจากมีประมาณคาเฟอีนที่สูงกว่าที่เคยได้รับมาก่อน คนที่ไวต่อคาเฟอีนและมีโรคหัวใจเต็นผิดปกติไม่ควรดื่ม
-น้ำมันกาแฟ (coffee oil,kahweol และ cafestol) ทำให้ระดับของโคเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นได้ แต่การใช้กระดาษกรองในการต้มกาแฟจะสามารถจับสารพวกนี้ได้
-การดื่มเครื่องดื่มกลุ่มดังกล่าว โดยทั่วไปมักจะมีการผสมด้วยน้ำตาลเป็นหลัก ดังนั้นปัญหาที่ตามมาคือ เรื่องของระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งต้องระวังในคนใข้โรคเบาหวาน และปัญหาเรื่องของน้ำหนักตัว ซึ่งหากน้ำหนักมาก ๆ ปัญหาเรื่องดรงไขข้อก็จะตามมา

HealthToday Special
No.2 Foodiscovery

วิตามินที่มีประโยชน์ในการสร้างกระดูก

แคลเซียม เป็นแต่ธาตุที่พบมากที่สุดในร่างกาย โดยร้อยละ 99 ของแคลเซียมทั้งหมดจะอยู่ในกระดูกและฟัน ส่วนที่เหลือจะอยู่ในกระแสเลือดและเซลล์ต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อลดอัตราการสลายตัวของกระดูกโดยเฉลี่ยผู้ใหญ่ทั้วไปควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม และสำหรับผู้สูงอายุ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน

วิตามินที่มีประโยชน์ในการสร้างกระดูก
วิตามินเค มีการศึกษาพบว่าวิตามินเคมีบทบาทสำคัญต่อการดูดซึมแคลเซียมในกระแสเลือดมาใช้ในการสร้างกระดูก หากร่างกายได้รับวิตามินเคอย่างเพียงพอทุกวัน พร้อม ๆ กับแคลเซียมก็จะช่วยเพิ่มมวลกระดูกให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ชะลอการสลายของเนื้อกระดูกให้ช้าลงได้
เราสามารถได้รับวิตามินเคจากอาหารต่าง ๆ เช่น ผักกะหล่ำปลี ผักบุ้ง บรอกโคลี ต้นหอม ผักใบเขียวต่าง ๆ ถั่งเหลือง ถั่วหมัก เต้าเจี้ยว น้ำมันพืช ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม โดยเฉพาะสมัยนี้มีนมชนิดแคลเซียมสูงที่เสริมด้วยวิตามินเค เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการป้องกันโรคกระดูกพรุนตั้งแต่เนิ่น ๆ

วิตามินดี เป็นตัวช่วยให้ร่างกายดูดซับแคลเซียมจากอาหารได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยให้กล้ามเนื้อเราทำงานได้ดีควบคุมการทรงตัวไม่ให้ล้ม โดยแหล่งวิตามินดีที่สำคัญและง่ายที่สุดคือ แสงแดด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายจึงมักแนะนำให้คนเราเดินเล่น หรือออกกำลังกายในช่วงเวลาที่มีแดดอ่อน ๆ เช้าหรือเย็น รวมทั้งการกินอาหารที่มีวิตามินดี อย่างเช่น นม ปลาแซลมอน หรือกุ้ง เป็นต้น

วิตามินซี เป็นที่รู้จักดีว่าเป็นวิตามินที่มีบทบาทในการสร้างเนื้อเยื่อโครงสร้างอันเป็นที่อยู่ของแคลเซียม เช่น กระดูกและฟัน วิตามินซี มีมากในผัก ผลไม้ที่มีรสเปรียว รวมทั้ง นม นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงอาหาร เครื่องดื่มและพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นภัยต่อกระดูก เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ รวมทั้งอาหารเค็ม ๆ ที่มีเกลือโซเดียมมากไป ซึ่งจะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำแคลเซี่ยมมาใช้ได้เต็มที่

เรียบเรียงโดย g-one
ข้อมูลจาก
HealthToday Special
No.2 Foodiscovery

ผลไม้ไทยตระกูล"มะ"มีวิตามินซีสูงสุด ๆ

คนไทยนั้นโชคดีที่มีผลไม้มากมายที่นอกจากรสชาติอร่อยแล้ว ยังมีคุณค่าทางวิตามินซีสูง ที่น่าสังเกตคือ ผลไม้ไทยจำนวนมากที่ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า"มะ"นั้นมักจะมีวิตามินซีสูง

กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณะสุข รวบรวมเอาไว้ดังนี้
จากปริมาณวิตามินซีคิดจากผลไม้สดปริมาณ 100 กรัม
อันดับ 1 ต้องเป็นมะกอกไทย มีวิตามินซีสูงสุดถึง 291 มก.นำหน้า
มะขามป้อมที่มี 276 มก. ต่อไปเป็น
มะปรางดิบ 243 มก.
มะขามเทศ 133 มก.
มะปรางสุก 100 มก.
มะละกอสุก 78 มก.
มะขามหวาน 70 มก.
มะม่วง 70 มก.
มะไฟ 55 มก.
มะละกอดิบที่เราทำส้มตำ 44 มก.ทั้งหมดนี้ล้วนมีวิตามินซีนำหน้า
ส้มเขียวหวานที่มีเพียง 42 มก.
มะนาว 25 มก.และ
มะยม 8 มก.

เมื่อทราบแล้วก็ลองเลือกกินกันตามฤดูกาลสลัลสับเปลี่ยนกันไปหลาย ๆ ชนิด ก็ยิ่งจะได้ประโยชน์พร้อมความอร่อย

HealthToday Special
no.2 Foodiscovery

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

หลักคิดเชิงบวก

ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังตกสะเก็ด ประกอบกับอาการที่ดูจะร้อนอบอ้าวขึ้นทุกที ทำให้หลายคนคิดไปต่าง ๆ นา ๆ บ้างก็คิดว่าจะได้ทำงานมั๊ย บ้างก็คิดว่างานจะมั่นคงหรือเปล่า ร้ายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ฯลฯ จากที่กล่าวมา การคิดเชิงบวกนั้นจิตใจจะสังสมองให้ผลิตฮอร์โมนความสุขหลั่งออกมา จะทำให้หัวใจเต้นช้าลง ความดันเลือดช้าลง และภูมิต้านทานสูงขึ้น การคิดเชิงบวกจะช่วยให้ชีวิตมีความหวัง แม้จะพบอุปสรรคที่ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม

หลักการคิดเชิงบวก
1.มองตัวเองว่าดี คือ การหาข้อดีของตนเองเพื่อให้เกิดความภูมิใจในตนเอง และสำรวจดูข้อดีข้อเสียของตนเอง เพื่อให้เกิดความยอมรับใจตนเอง เพื่อปรับเปลียนความคิดไปในทิศทางที่ดีขึ้น
2.มองคนอื่นว่าดี คือ เมื่อผ่านข้อแรกแล้ว จะตระหนักว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ทุกคนย่อมมีข้อบกพร่องแตกต่างกันไป ดังนั้น การมีชีวิตที่มีความสุขจึงหมายถึง การอยู่ร่วมกันโดยเลือกมอง และใช้ประโยชน์จากความดีที่ผู้อื่นมีอยู่ แต่มองเห็นความดีของเขาจริง ๆ
3.มองสิ่งที่เหลืออยู่ไม่่ใช่สิ่งที่ขาดหาย คือ เมื่อเกิดปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ลองมองความทุกข์ หรือ ปัญหานั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่เราสามารถพิจารณาได้ว่า วิกฤติที่เราพบนั้น มีข้อดีอะไรแผงอยู่ หรือจะใช้ประโยชน์จากปัญหานั้นได้อย่างไรบ้าง

ข้อดีของการคิดเชิงบวก
1.สมองของคุณจะรู้สึกเบา
2.คิ้วของคุณจะไม่ขมวดเข้ามาใกล้กัน
3.หัวใจของคุณจะเต้นเป็นจังหวะอย่างสมดุล
4.การไหลเวียนของโลหิตจะดีขึ้น
5.กล้ามเนี้อจะไม่เกร็งและจะรู้สึกผ่อนคลายใม่เครียด
6.สายตาคุณจะกว่างไกล
7.แววตาของคุณจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและอ่อนโยน
8.ความสงบสุขจะเกิดขึ้นกับชีวิตของคุณและผู้ที่อยุ่ใกล้ ๆ

ครูเมษ์
อินไซด์บางศรีเมือง
ปีที่2 ฉบับที่ 5

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ควันบุหรี่มือสอง ภัยเงียบภายในบ้าน

จากการวิจัยเรื่องการได้รับควันบุหรี่มือสอง พบว่าคนที่สูบบุหรี่เคยสูบบุหรี่ในบ้านกับสมาชิกในครอบครัวมีร้อยลุ 84.5 โดยเฉลี่ยครอบครัวจะมีสมาชิกอย่างน้อย 1 คนที่สูบบุหรี่มีประมาณ 7.36 ล้านครัวเรือน หมายความว่าเฉลี่ยจะมีสมาชิกในครอบครัวที่ได้รับควันบุหรี่อย่างน้อยประมาณ 2 คน โดยรวมแล้วมีประชากรได้รับควันบุหรี่มือสองถึง 15.89 ล้านคน และพบว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีได้รับควันบุหรี่มือสอง 5.61 ล้านคน ทั้งนี้คนที่ได้รับควันบุหรี่มือสองนี้มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคต่าง ๆ ได้เท่ากับหรืออาจมากกว่าคนสูบบุหรี่เสียอีก เช่น เป็นหวัดและติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจง่าย โรคภูมิแพ้ หอบหืด ปอดอักเสบ ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด เป็นต้น

HealthToday Thailand
ปีที่ 9 ฉบับที่ 98

วิธีเตรียมพร้อมก่อนพบหมอ

เป็นที่ทราบกันดีว่าอัตราส่วนของแพทย์กับคนเจ็บป่วยในประเทศไทยนั้ืนไม่สมดุลกันอย่างมาก ทำให้เฉลี่ยแพทย์มีเวลารักษาคนไข้คนละประมาณไม่กี่นาที..... เพื่อบริหารเวลาอันจำกัดที่ได้พบหมอให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเรามีวิธีเตรียมพร้อมมาฝากดังนี้
1. บอกอาการให้หมอฟังอย่างละเอียด ไม่ใช่การคาดเดาหรือวินิจฉัยอาการตนเองให้คุณหมอฟัง ซึ่งอาจทำให้คุณหมอสับสน ส่วนคนที่ปรึกษาคุณหมอเพื่อขอความเห็นที่สอง คุณจำเป็นต้องเล่าอาการหรือความผิดปกติตั้งแต่แรกให้คุณหมอฟังอย่างละเอียดเช่นกัน
2. ซื่อสัตย์ต่อตนเองและคุณหมอ ถึงคราวต้องยอมรับความจริงว่าคุณกำลังไม่สบาย ดังนั้นข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาก็ควรบอกให้หมดเพราะนั่นอาจเป็นตัวช่วยในการรักษาที่ถูกต้องและตรงจุดมากขึ้น
3. คนในครอบครัว-เพื่อนรอบกาย ที่พึ่งยามยาก หากคุณต้องการที่ปรึกษา คุณสามารถพาคนในครอบครัวหรือเพื่อนเข้าไปช่วยฟังอีกแรง
4. พกผลการตรวจไปด้วยเสมอ หากคุณมีผลตรวจจากห้องแล็ปฟิล์มเอกซเรย์ CT Scan MRI ฯลฯ ที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาให้นำติดตัวไปด้วยทุกครั้งเพื่อคุณหมอจะอ่านและวินิจฉัยได้ทันที จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจซ้ำอีกครั้ง ในกรณีที่ต้องย้ายการรักษาไปโรงพยาบาลอื่น ก็ควรขอถ่ายสำเนาประวัติเก็บไว้
5. ฝึกจำชื่อสามัญทางยา คนจำนวนมากไม่รู้จักชื่อสามัญทางยาที่ตนเองกิน ทำให้เกิดความสับสนการจ่ายยามาก ดังนั้นเพื่อสุขภาพของตนเองคุณควรจำชื่อสามัญทางยา ขนาดยาและความถี่ของยาที่กินอยู่หรือพกซองยานั้นติดตัวไปด้วยทุกครั้ง และที่สำคัญอย่าลืมจดบันทึกยาที่แพ้และแจ้งหมอด้วยทุกครั้ง
6. จดทุกคำที่อยากรู้ ระหว่างรอนัดพบแพทย์ ให้คุณจดทุกคำถามที่อยากรู้เกี่ยวกับโรคหรืออาการที่สงสัยลงในสมุดบันทึก เพื่อให้คุณหมอแนะนำและให้ความรู้ในการป้องกันและรักษาที่ถูกต้อง

จากนิตยสาร HealthToday THAILAND
ปีที่ 9 ฉบับที่ 92

เพิ่มความอึดระหว่างออกกำลังกายด้วยมิวสิค

คนที่ชอบใส่หูฟังขณะเดินหรือวิ่งออกกำลังกายตามฟิตเนส หรือสวนสาธารณะอาจไม่ได้ประโยชน์ทำให้เพลินหรืออารมณ์อย่างเดียว เพราะล่าสุดมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Brunel ที่ประเทศอังกฤษ พบว่าการฟังเพลงที่ชื่นชอบประเภทใดประเภทหนึ่งขณะออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ร่างกายทนทานต่อความเหนื่อยได้มากขึ้น 15% ดังนั้นใครที่เริ่มออกกำลังกาย หรือคิดอยากเพิ่มความทดทานในการออกำลัง ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูได้ค่ะ

จากนิตยสาร HealthToday THAILAND
ปีที่ 9 ฉบับที่ 98

โรคอ้วนลงพุุง

โรคอ้วนลงพุงหรือ Metabolic Syndrome เป็นภาวะที่อ้วนโดยเฉพาะส่วนเอว ส่งผลทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายหลายระบบ เกณฑ์การวินิจฉัยโรคอ้วนลงพุง Metabolic Syndrome คือมีเส้นรอบเอวมากว่า 90 ซ.ม. ในชาย และ 80 ซ.ม.ในหญิง ร่วมกับภาวะดังดังต่อไปนี้ คือ
1.ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มม.ปรอท
2.ระดับไขมัน Triglyceride มากกว่า 150 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์
3.ระดับไขมันตัวที่ดี HDL มากกว่า 40,50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ สำหรับชายและหญิง
4.ระดับน้ำตาลสูงกว่า 100 มิลลิกรับเปอร์เซนต์
ผู้มีภาวะเหล่านี้ 2 ใน 4 ข้อที่กล่าวมารวมเรียกว่า มีภาวะอ้วนลงพุง
ภาวะอ้วนลงพุง เป็นภาวะที่พบได้บ่อยมากขึ้นในเกือบทุกประเทศทั้วโลก ซึ่งสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดโรคที่ร้ายแรงคือ โรคเบาหวาน โรคเส้นเลือดหัวใจ และสมองตีบ
การรักษาภาวะอ้วนลงพุงนั้นที่สำคัญที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรการดำรงชีวิต ควบคุมอาหาร เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ถ้าปฏิบัติตังกล่าวแล้วยังควบคุมไม่ได้ก็อาจจะมีความจำเป็นที่จะร้องเริ่มใช้ยาในการรักษาไปพร้อมกันด้วย

พลเอก นพ.ประวิชช์ ตันประเสริฐ
โรงพยาบาลพระรามเก้า

กลิ่นเหม็นใหม่จากผ้าม่านในห้องน้ำ อ้นตรายที่ไม่ควรมองข้าม

ผ้าม่านในห้องน้ำมีประโยชน์ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำกระเซ็นหกเลอะพื้นก็จริง แต่คุณรู้หรือไม่ว่าผ้าม่านในห้องน้ำให้โทษจากผ้าม่านที่ทำมาจากพีวีซี ซึ่งตอนนี้ประเทศสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป หรือ EU ได้ประกาศเตือนประชาชนให้ระวังและหลีกเลี่ยง
เริ่มจาก Virginia-based Center fot Health,Environment and justice ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ตรวจสอบอันตรายของกลิ่นเหม็นใหม่จากผ้าม่านในห้องน้ำ กลุ่มตัวอย่างที่ผลิตจากโพลีไวนิลคลอไรด์ หรือพีวีซี และพบว่ากลิ่นฉุนจากผ้านม่านนั้นปล่อยสารเคมีอันตรายกว่า 100 ชนิดสู่อากาศได้นานถึง 28 วัน ทั้งนี้สารเคมีที่ตรวจพบและเป็นอันตรายแก่สุขภาพ ได้แก่ สาร Phthalates (DEHP),toluene,ethylbenzene หากสูดดมนาน ๆ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ เวียนศรีษะ และอาจส่งผลทำให่้หญิงตั้งครรภ์คลอดบุตรก่อนกำหนด เด็กในครรภ์มีความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ตับและไตทำงานผิดปกติ
ดังนั้นเพื่อสุขภาพของคนในครอบครัว คุณควรเลือกซื้อผ้าม่านในห้องน้ำที่ทำจากพลาสติกที่ได้รับการรับรองว่าปลอดภัย หรือต้องนำมาแขวนในบริเวณที่อากาศถ่ายเทอย่างดี จนหมดกลิ่นแล้วจึงนำไปใช้ในห้องน้ำ

Healthtoday thailand
ปีที่ 9 ฉบับที่ 98
พ.ค.52

6 วิธีเพิ่มสมาธิและความจำ

ลืม...ลืม...ลืม..จะว่าอาการหลง ๆ ลืม ๆ เป็นแฟชั่นเทรนด์ใหม่ที่ใครไม่ลืมเป็นต้องเชย ก็ไม่น่าจะใช่ แต่อาการหลง ๆ ลืม ๆ ได้กลายเป็นนิสัยติดตัวของคนเมืองหลาย ๆ คนไปแล้ว ก้จะไม่ให้ลืมได้อย่างไร ในเมื่อสมองเล็ก ๆ ของเราต้องจำเรื่องต่าง ๆ มากมาย

มารู้จักเคล็ดลับง่าย ๆ กับ 6 วิธิเพิ่มสมาธิและความจำกันดีกว่า
1.นั่งสมาธิประจำ
การทำสมาธิเป็นการลดความวิตกกังวลได้ดี และยังเป็นการเพิ่มพลังภายในให้ความคิดความจำของคุณโลดแล่น
2.ยิ้ม..ยิ้ม...ยิ้ม
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเป็นวิธีการบำบัดความเครียดเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เมื่อเรายิ้มจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี ระบบต่าง ๆ ในร่างกายผ่อนคลาย
3.กินอาหารให้ถูกหลัก
ในยามที่สมองเหนื่อยล้า ร่างกายมีความต้องการสารอาหารมากขึ้น เช่น โปรตีน สารแอนติออกซิแดนท์(วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน) วิตามินบีต่าง ๆ แมกนีเซียมและสังกะสี เพื่อช่วยในการทำงานของสมอง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยหลาย ๆ งาน เกี่ยวกับซุปไก่สกัดที่พบว่า ซุปไก่สกัดมีสารอาหารที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที มีผลในการช่วยลดคอร์ติซอล ซึ่งเป็นตัวที่บ่งบอกถึงระดับความเครียดในกระแสเลือดและสมองได้ ในงานวิจัยของ ดร.Nagai ระบุว่า ซุปไก่สกัดช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้น อาการเหนื่อยล้าจากการทำงานน้อยลง และงานวิจัยของ ศ.นพ.Azhar รายงานว่า ช่วยลดความวิตกกังวล มีความสามารถในการจดจำดีขึ้น และจากการประชุมวิชาการของสมาคมนักโภชนาการแห่งสหรัฐอเมริกรปี 2001 ยังรายงานว่า ซุปไก่สกัดช่วยเพิ่มคลื่นอัลฟาในสมอง ซื่งคลื่นนี้แสดงถึงการมีสมาธิและการคิดอย่างเป็นระบบ
4.บริหารสมองสม่ำเสมอ
การฝึกคำนวณโดยไม่ใช้เครื่องคิดเลข เกมชูโดกุ การเล่นเกมส์ต่อศัพท์ครอสเวิร์ด หรือ เปลี่ยนไปใช้มือข้างที่ไม่ถนัดเขียนหนังสือ นับเป็นการบริหารสมองอย่างดี
5.ออกกำลังกายพอเหมาะ
การออกกำลังกายเป็นการเพิ่มออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ที้งเป็นการระบายความเครียดและความกังวลออกจากสมองได้เป็นอย่างดี ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 30-45 นาที
6.พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
การได้พักผ่อนเต็มที่เป็นการเตรียมตัวคุณให้พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ ควรนอนหลับวันละ 7-8 ชั้วโมง เพื่อที่จะตื่นขึ้นมาได้อย่างสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถผลักความเครียดออกจากตัวคุณได้ คุณก็จะมีสมองที่ปลอดโปร่ง ความคิดก็จะโลดแล่น คิด และจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดี

อาหารและสุขภาพ
รศ.ลาวัณย์ ผลสมภพ
มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
พิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์
ปีที่ 29 ฉบับที่ 1505

โรคมือ เท้า ปาก

โรคมือ เท้า ปาก หรือที่เรียกว่า Hand-foot-and-mouth disease เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดเฉียบพลัน มีไข้ เกิดร่วมกับตุ่มน้ำใสขึ้นที่ปาก มือ เท้า ก้น เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม "เอนเทอโรไวรัส" แต่ชนิดที่อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงมีชื่อว่า "เอนเทอโรไวรัส 71" โรคนี้มักระบาดเป็นครั้งคราวโดยเฉพาะช่วงฤดูฝน ส่วนใหญ่เกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี โรคนี้แพร่กระจายติดต่อถึงกันได้ โดยผ่านทางอุจจาระหรือละอองน้ำมูก น้ำลาย หลังได้รับเชื้อ 4-6 วัน เด็กจะมีไข้สูง อ่อนเพลีย ทานนมและอาหารลดลง เจ็บคอ ปวดศรีษะ จะมีตุ่มน้ำใส ขนาดเล็กหรือแผลที่คอ ปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม และตุ่มจะขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ก้น
โรคนี้ไม่มียาษ่าเชื้อโดยตรง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะหายจากโรคได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ภายในช่วงเวลา 5-7 วัน เด็กบางรายอาจมีอาการขาดน้ำเพราะทานอาหารได้น้อย การรักษานั้นจะเป็นการประคับประคองตามอาการ และเฝ้าระวังอาการที่รุนแรง หรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ชัก ปอดอักเสบ สมองอักเสบ หัวใจล้มเหลว ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้

การป้องกันโรคที่สำคัญคือ
แนะนำให้หลีกเลี่ยงการนำเด็กไปอยู่ในที่แออัด เช่น โรงภาพยนต์ ตลาด ศูนย์การค้า และหากมีเด็กป่วย ผู้ปกครองไม่ควรนำเด็กไปโรงเรียนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้กับเด็กคนอื่น ๆ จนกว่าจะหายดี
การรักษาสุขภาพส่วนบุคคล เช่น การรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย เสื้้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม การรับประทานอาหารและน้ำที่สะอาด การล้างมือบ่อย ๆ และรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ

พญ.อัญญพัสส์ วิศวเวช
โรงพยาบาลพระรามเก้า

สมดุลชีวิตกับงาน:เรื่องจริงหรืออิงนิยาย

ชีวิต มนุษย์เงินเดือนอย่างเราท่านในทุกวันนี้ ดูเหมือนต้องพยายามดิ้นรนแสวงหาสมดุลของหน้าที่การงานกับชีวิตส่วนตัวกันอย่างขวักไขว่ แต่ก็ไม่ง่านนักที่จะมีใครมีชีวิตที่สมดุลได้ดังว่าสาเหตุหลักก็เนื่องจากมาจากการที่เราทุกคนมีข้อจำกัดทางด้านเวลา หากคุณพบว่าตัวเองมีงานคั่งค้างและไม่เคยมีเวลาจัดการชีวิตส่วนตัวและครอบครัวได้ตามต้องการ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าปัญหาสมดุลระหว่างชีวิตกับงานกำลังเข้ามาทักทายเข้าแล้ว ข้อแนะนำเล็กน้อย ๗ ข้อต่อไปนี้อาจช่วยคุณได้..........
๑)ปรึกษาหัวหน้า
องค์กรสมัยนี้มักให้ความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ของบุคลากรมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะต้องการดึงดูดคนเก่งๆ ให้เข้ามาสู่องค์กร และรักษาคนเหล่านี้ให้อยู่นายๆ
ดังนั้นถ้าคุณรู้สึกขอบงานที่ทำ แต่ต้องการได้ความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำไมไม่ลองรวบรวมความกล้าคุยกับหัวหน้างานของคุณดูว่าเป็นไปได้ไหมที่จะนำเทคนิคการสร้างความยืดหยุ่นในการทำงานมาใช้ เช่น ทำงานมากขึ้นเป็นบางวันเพื่อให้มีเวลาจัดการชีวิตส่วนตัวได้ในยามจำเป็น (Compressed Workweek) ยกตัวอย่าง ปกติทำงาน ๕ วัน (จันทร์ถึงศุกร์)วันละ ๘ ชั่วโมง + เช้าศุกร์อีก ๔ ชั่วโมง ก็เแปเอี่ย ๔0 ชั่วโมง แต่สิ่งที่คุณจะได้เพิ่มเติมมาคือ เวลาว่างตอนบ่ายวันศุกร์ ที่อาจใช้ไปทำธุระส่วนตัวหรือรีบกลับไปรับลูกจากโรงเรียนกลับบ้านพร้อมกันก็ได้
๒)ศึกษาทางเลือก
ตำแหน่งงานบางตำแหน่งอาจต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นหากคุณต้องการมีเวลามากขึ้นสำหรับตัวเองและครอบครัว อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนที่ทำงานหรือตำแหน่งงานที่เบาลงหรือยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ทั้งนี้คุณต้องทำใจยอมสละบางสิ่งบางอย่างไปหากต้องการเวลามากขึ้น เช่น คุณอาจมีรายได้น้อยลง
๓)ผ่อนเครื่องลง
หยุด....หันมองไปรอบๆ.....หายใจเช้าลึกๆ..... หายใจออกยาวๆ..... มีความสุขกับกิจกรรมและสังคมรอบข้าง ทั้งในและนอกที่ทำงานบ้าง ระหว่างการประชุมอาจมีการเบรกความเครียดพูดคุยเรื่องโปกฮา การบ้านการเมือง ละครทีวีบ้าง หรือไม่ก็รู้นจักหาเวลากลับให้ถึงบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกเพื่อจะได้มีเวลารดน้ำใส่ปุ๋ยต้นไม้ต้นโปรด เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ต้องหอบกลับไปทำที่บ้านจนติดนิสัย รู้จักปิดซีกสมองที่เกี่ยวกับงานเสียบ้างในวันหยุด(ไม่งั้นเขาจะเรียกวันหยุดเหรอ)เพื่อชาร์จพลังไว้ห้ำหั่นกับงานในเช้าวันจันทร์
๔)ทำชีวิตให้ง่าย
ที่จริงมันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่อยาทกประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิตด้วยเวลาที่มีอยู่เพียงจำกัด การจัดการชีวิตให้ง่ายจะช่วยให้คุณใช้เวลาในแต่ละกิจกรรมลดน้อยลง อาจเริ่มจากการโกยขยะรุงรังบนโต๊ะทำงานลงทังขยะ คุณจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดตอนแหวกดงขยะเพื่อหาเอกสารสักชิ้น แล้วคุณจะพบว่าการทำชีวิตให้ง่าย ทำให้คุณมีเวลาเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
๕)ตั้งเป้าหมายการทำงาน
การตั้งและลำดับความสำคัญของเป้าหมายการทำงานแต่ละวัน นอกจากจะช่วยให้คุณรู้สึกดีที่เห็นแต่ละเป้าหมายย่อยถูกฝ่าฟันไปทีละเป้า ๆ แล้วยังช่วยให้คุณไม่ต้องเก็บความกังวลเรื่องงานล้นมือไว้เต็มหัวสมองอีกด้วย เพราะคุณจะเห็นภาพรวมของภาระงานทั้งหมดซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกว่าทุกอย่างอยู่ในความควบคุม สิ่งสำคัญก็คืออย่าลืมเผื่อเวลาไว้สำหรับงานด่วนหรือเรื่องฉุกเฉินด้วย
๖)แบ่งปันความรับผิดชอบ
ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจขนาดไหน คุณก็ไม่มีทางทำงานทุกอย่างเสร็จได้ด้วยตัวเองทุกครั้งในเวลาที่มีอยู่อย่างน้อยนิดหากคุณมีลูกน้องคุณก็ควรมอบหมายงานให้ลูกน้องทำตามความเหมาะสม แทนที่จะเก็บไว้ทำเองทั้งหมด การมอบหมายงานนอกจากจะช่วยลดภาระงานของคุณแล้ว ยังเป็นการสร้างพัฒนาลูกน้องคุณอีกโสตหนึ่งด้วย
๗)มองสมดุลของชีวิตกังทำงานเป็นเป้าหมายที่ไม่เคยอยู่นิ่ง
อย่าไปคิดว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตการทำงานกับชีวิตด้านอื่นมีความสมดุล แล้วก็จบแค่นั้น แต่ให้มองว่าสมดุล แล้วก็จบแค่นั้น แต่ให้มองว่าสมดุลนั้นเป็นสิ่งที่ต้องการการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา เนื่องจากบทบาทในชีวิตของแต่ละคนเปลี่ยนไปเสมอ เช่น หากคุณได้เลื่อนตำแหน่งงานสูงขึ้นคุณก็อาจต้องปรับวิถีการใช้ชีวิตให้เหมาะกับตำแหน่งใหม่มากขึ้นอาจต้องมีการยกเลิกกิจกรรมบางอย่างไป แต่ต้องเพิ่มบางอย่างเข้ามา
การจะประสบความสำเร็จแค่ไหนกับการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตกับงาน ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะระบุได้ชัดเจนแค่ไหนว่าสมดุล"ของคุณ" มีหน้าตายังไงเพราะที่สุดแล้ว มันก็ต้องเป็นหน้าที่ของคุณเอง ที่ต้องรับผิดชอบปรับเปลี่ยนแบบแผนกิจกรรมในชีวิตเพื่อรักษาสมดุลนี้ไว้เมื่อสถานการณ์แปรเปลี่ยน
หากทำอย่างนี้ได้...... นิยาย (เรื่องสมดุลชีวิตกับงาน)ก็คงจะกับกลายเป็นจริง

กระแสคนกระแสโลก
ดร. ภาณุภาคย์ พงศ์อติชาต นธ. ตรี
สำนักงาน ก.พ.
พิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์ ปีที่่ 29 ฉบับที่ 1503

ไทเกอร์ VS เฟเดอร์เรอร์

ไทเกอร์ VS เฟเดอร์เรอร์ ใครจะได้เมเจอร์ที่ 15 ก่อนกัน
โรเจอร์ เฟเดอร์เรอร์ กับไทเกอร์ วูดส์ รู้จักกันแบบได้พบปะพูดคุยกันไม่เกิน 3 ปี แต่ด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างเป็น"เทพ" ในสาขาของตังเองและเป็นนักกีฬาที่อยู่ในทีมไนกี็เหมือนกัน หลังจากได้เจอกันครั้งแรกที่นิวยอร์ก ทั้งคู่ก็สนิทสนมกันในเวลาอันรวดเร็ว มีทั้งส่งข้อความหยอกเอินกันทางอีเมล ไทเกอร์ไปนั่งเชียร์เฟเดอร์เรอร์แข่ง เฟเดอร์เรอร์เดินคุยกับไทเกอร์ในสนามซ้อมกอล์ฟในวันออกรอบฝึกซ้อม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งสองคนได้แชมป์ในเวลาใกล้เคียงกัน เฟเดอร์เรอร์ได้แชมป์เฟรนซ์โอเพนที่ปารีส ไทเกอร์ได้แชมป์เดอะเมโมเรียลที่โอไฮโอ ผมเดาเอาว่าทั้งคู่คงส่งอี-เมลแสดงความยินดีให้กันและกันเหมือนที่เคยทำ
การได้แชมป์เฟรนว์ โอเพ่นของเฟเดอเรอร์เมื่อวันอาทิตย์ทำให้ทั้งไทเกอร์และเฟเดอเรอร์ได้แชมป์รายการเมเจอร์ 14 รายการเท่านั้น
จึงมีคำถามว่าใครจะได้แชมป์เมเจอร์ที่ 15 ก่อนกัน?
ผมไม่ทราบว่าบริษัทรับพนันในอังกฤษออกราคาต่อรองว่าไทเกอร์กับเฟเดอเรอร์ใครจะได้แชมป์เมเจอร์ที่ 15 ก่อนกันรึยัง ถ้ามีราคาออกมาแล้วคิดว่าอัตราต่อรองคงใกล้เคียงกันมาก เพราะเมเจอร์รายการต่อไปของเฟเดอร์คือวิมเบิลดัน ส่วนเมเจอร์ของไทเกอร์คือยูเอส โอเพ่นที่สนามเบธเพจ แบล็ก ซึ่งไทเกอร์เคยได้แชมป์มาแล้วในยูเอส โอเพ่น 2002 ซึ่งคราวนั้นเขาเป็นนักกอล์ฟคนเดียวที่ทำคะแนน 4 วันอันเดอร์สนาม
เกจิกอล์ฟอเมริกันเกือบทุกคนลงความเห็นว่าเบธเพจแบล็กเป็นสนามกอล์ฟ ยากที่สุุดที่ใช้แข่งยูเอส โอเพ่น
สนามยิ่งเล่นยากคนที่เล่นเก่งยิ่งได้เปรียบ จึงพือว่ายูเอสโอเพ่น 2009 ซึ่งจะเริ่มวันที่ 18 มิถุนายนนี้เข้าทางปืนของไทเกอร์
แล้วก็ช่าง "บังเอิญ" เหลือเกินที่สัปดาห์ที่ผ่านมาไทเกอร์ได้แชมป์เดอะเมโมเรียบด้วยฟอร์มที่เลิศเลอเพอร์เฟ็กต์เหนือมนุษย์ทุกส่วนของเกมไม่ว่าจะเป็นลูกสั้นลูกยาวลูกแม่นมาพร้อมกันหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกีซ๊อตแรากจากแท่นทีออฟแม่นแฟร์เวย์มาก วันแรกอยู่ในแฟร์เวย์ 93 เปอร์เซ็นต์ วันที่สอง 86 เปอร์เซ็นต์ วันที่สาม 71 เปอร์เซ็นต์ วันสุดท้ายตีแม่นแฟร์เวย์ 100 เปอร์เซ็นต์ ฟอร์ล่าสุดก่อนถึงยูเอส โอเพ่น 1 สัปดาห์ เป็นแบบนี้เกจิจึงบอกว่า"เต็งหาม"
ทางฝั่งของ โรเจอร์ เฟเดอร์ ซึ่งจะออกสตาร์ตวิมเบิลดันวันจันทร์ที่ 22 มิถุนายนนี้ ผู้สันทัดกรณีบอกว่าโอกาสได้แชมป์เมเจอร์ที่ 15 ไม่ได้เป็นรองไทเกอร์เลย
การชนะที่ปารีสเมื่อวันที่อาทิตย์ทำให้เขาเป็นนักเทนนิสชายที่ได้แชมป์เมเจอร์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 14 รายการเท่า พีทแซมพราส แต่เขา "เหนือกว่า"พีทตรงที่ได้แชมป์ครบทั้ง 4 เมเจอร์ ในขณะที่พีทได้ทุกอย่างยกเว้นแชมป์เฟรนช์ โอเพ่น
การได้แชมป์เฟรนช์ โอเพ่นด้วยฟอร์มการเล่นที่หรูหราไร้คำบรรยายทั้งวิธีคิดวิธีตีทำให้กูรูเทนนิสเห็นว่าเฟเดอเรอร์มีโอกาสได้แชมป์เมเจอร์รายการที่ 15 ก่อน ไทเกอร์ วูดส์ เพราะสนามแขงวิมเบิลดันเป็นคอร์ตหญ้าซึ่งเฟเดอเรอร์เชี่ยวชาญกว่าไครๆ ยิ่งมีข่าวว่า ราฟาเอล นาดาล บาดเจ็บอาจแข่งไม่ได้ หรือถ้าแข่งได้ร่างกายก็ไม่สมบูรณ์เต็มร้อย โอกาสของเฟเดอร์ก็ยิ่งมีมากขึ้น
ที่สำคัญเทนเทนนิสเป็นเกมที่คู่แข่งขันเล่นลูก (ball) เดียวกัน แบบเดียวกับฟุตบอล บาสเกตบอล สนุ้กเกอร์และ ฯลฯ ฝ่ายที่เก่งกว่าจะควบคุมคู่ต่อสู้ให้อยู่ในสถานการร์เล่นลำบากได้เกือบตลอดเวลา ในขณะที่กอล์ฟต่างคนต่างเล่นลูกของตัวเองฝ่ายหนึ่งไม่สามารถ "บังคับ" อีกฝ่ายหนึ่งให้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์เล่นยากลำบากได้ ตรงนี้แหละที่เฟเดอเรอร์ได้เปรียบไทเกอร์
กอล์ฟยูเอส โอเพ่น 2009 แข่งขันระหว่างวันที่ 18 ถึง 21 มิถุนายน วิมเบิลดันแข่งระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน ถึง 5 กรกฏาคม แฟนกีฬาติดตามข่าวและติดตามชมได้ตามอัธยาศัย
ถ้าเฟเดอเรอร์ได้ชิงชนะเลิศวิมเบิลดัน ผมขอแนะนำให้ทุกท่านดูถ่ายทอดสดให้จบ เผื่อจะได้เห็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นักเทนนิสได้แชมป์ชายเดี่ยวรายการเมเจอร์มากที่สุดในโลก

คลุกวงใน
พิษณุ นิลกลัด
มติชนสุดสัปดาห์
ปีที่29 ฉบับที่ 1504

วิกฤตที่จะเป็นโอกาส

มีเรื่องหนี่งที่ยกขึ้นมาคุยกันเมื่อไรจะเป็นเรื่องถูกเมื่อนั้น โดยเฉพาะในหมู่คนชั้นกลาง
"ที่บ้านมีข้าวของที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ มากกว่าที่ซื้อมาแล้วใช้" เกือบร้อยทั้งร้อย ไม่ว่าในตู้เสื้้อผ้า เครื่องใช้ในครัว ข้าวของอื่น ๆ สารพัด แม้กระทั่ง อุปกรณ์ออกกำลังกาย
เป็นเรื่องปกติใช่หรือไม่ อุปกรณ์ออกกำลังกายราคาเป็นพันเป็นหมื่นที่ซื้้อมา กลายเป็นราวแขวนเสื้อผ้าหลังจากที่เห่อใช้แค่ 2-3 เดือน โลกทุนนิยมกระตุ้นการบริโภคกันไม่รู้จักจบจักสิ้น ทำให้วิถีชีวิตผู้คนในยุคนี้ซื้อไปเรื่อย ด้วยโฆษณาที่ไปก่อให้เกิดแรงกระตุ้นภายใน
ในทางทฤษฎีของเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม พฤติกรรมเช่นนี้ก่อให้เกิดการหมุนของเงินในตลาด กำลังซื้อมีต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการผลิต การจ้างงาน เพื่อมากสู่การซื้อ เป็นการทำให้วงจรเศรษฐกิจหมุนไปเรื่อย ๆ แต่ในทางคุณค่า พฤติกรรมทางเศรษฐกิจเช่นนี้ ก่อให้เกิดการผลิต และการซื้อที่ไม่เพียงแต่ไม่เกิดประโยชน์ ยังเป็นการใช้ทรัพยากรและแรงงานอย่างสิ้นเปลือง
โลกถูกทำลายลงเพื่่อนำทรัพยากรธรรมชาติมาแปรรูปเป็นสินค้า ก็เพราะพฤติกรรมเช่นนี้ โลกยุคเทคโนโลยีไอที เมื่อเราซื้อคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือกระทั่งทีวีสักเครื่อง ในปัจจุบันพบว่า มีสายไฟฟ้า หรือสายพ่วง สารพัดขายมาพร้อมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราซื้อ โดยที่มีหลายสายในนั้นได้แต่เอามาเก็บไว้รกบ้าน เพราะไม่มีโอกาสที่จะใช้ เป็นการยัดเยียดขายพ่วงมาตามระบบตลาดทุนนิยม ที่จำเป็นต้องสร้างงานเพื่อกระตุ้นการซื้อ ยามที่เราทีเงินในกระเป๋ามาก ๆ เราจะไม่รู้สึกในเรื่องแบบนี้ สำนึกบริโภคนิยมจะปิดบังให้เรามืดบอด ปล่อยเลยตามเลย แต่ในยามวิกฤตเศรษกิจ ผู้คนบางส่วนเริ่มคิดเรื่องนี้แล้ว
ในการสำรวจของศูนย์วิจัยความสุขชุชชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัน เรื่อง"แนวโน้มวิถีชีวิตและปัจจัยลดทอนความสุขของคนไทย"ระหว่างวันที่ 21-23 พฤษภาคม 2552 คำถามหนึ่งมีว่า "ความเป็นจริงในเรื่องการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา"
คำตอบที่ได้คือ
ประชาชนส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 89.4 ระบุว่าจะซื้อสินค้าใหม่ จะถามใจตัวเองกันว่ามีความจำเป็นต้องซื้อหรือเป็นแค่ความอยาก
ผลการสำรวจยังพบว่าประชาชนรักษาข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้นานขึ้น มากขึ้นร้อยละ 86.3
ประชาชนมีความคิดใช้เงินแค่พออยู่พอกิน เก็บออมไว้ใช้ในยามจำเป็นร้อยละ 76.0
วางแผนการใช้จ่ายเป็นขั้นเป็นตอนอย่างรัดกุม ร้อยละ 79.3
ขยันมุมานะในการทำงานหนัก ร้อยละ 70.9
นอกจากนั้น ยังมีตัวเลขที่เปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งที่แล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ที่น่าสนใจคือ
มีรายได้เดือนนี้ไม่พอ ต้องพึ่งพาคนอื่น เดิมมีร้อยละ 47.4 คราวนี้เหลือร้อยละ 38.6
พวกที่หลังซื้้อมาแล้วพบว่าไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์มากนัก จากร้อยละ 31.9 เหลื่อร้อยละ 24.7
จากตัวเลขที่หากมองถึงวินัยเรื่องการใช้จ่ายถือว่าดีขึ้นในทุกด้าน รู้กจักใช้มากขึ้น อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ซื้้อ ทำให้ไม่ต้องผลิตมาเพิ่ม ทรัพยากรกรรมชาติถูกทำลายน้อยลง สิ่งแวดล้อมโลกดีขึ้น ชีวิตมีความสุขขึ้น แต่ผลกระทบระบบทุนนิยมไม่ค่อยดีนัก เพราะวงจรเศรษฐกิจถูกตัด ทำให้ไม่เกิดกำลังซื้อ ทำให้ขาดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ
ประชาชนนั้นเลือกแล้วที่จะใช้วิกฤตของเศรษฐกิจ มาเป็นโอกาสช่วยโลกฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างไร เหลือแต่รัฐบาลที่จะต้องดิ้นรนหาทางให้ผู้คนบริโภคเพิ่มขึ้น เพราะกลัวว่าจะอยุ่ไม่รอดเนื่องจากขาดกำลังซื้อมาหมุนเศรษฐกิจ วิกฤตเป็นโอกาสของธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมโลก แต่ไม่เป็นโอกาสของรัฐบาล

เมนูข้อมูล
นายดาต้า
มติชน สุดสัปดาห์
ปีที่ 29 ฉบับที่ 1,502